แก้ตัวจากเกมพ่ายช็อกนัดแรกแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียจริงสำหรับ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ ได้ "รามิเรส" รับบทพระเอกสุดหล่อซัดคนเดียว 2 ประตูเน้นๆ พร้อมกับ "แลมพาร์ด" ที่ยิงปิดกล่องด้วยลูกไม้ตายนอกกรอบสุดสวยทำให้พวกเขาไล่ถล่มเอาชนะ "สเตอัว บูคาเรสต์" ขาดลอยถึง 4-0 คว้า 3 คะแนนแรกในเกมยุโรปปีนี้ได้สำเร็จ พร้อมขยับขึ้นที่ 2 ของกลุ่มอี
แชมป์เปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556
สเตอัว บูคาเรสต์ 0 - 4 เชลซี
สนาม สตาดิโอนูล เกนเซีย เริ่มเกมมาในช่วงแรก "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี พยายามที่จะปั้นจังหวะทำเกมบุกเพื่อที่จะกดดันทางเจ้าบ้านซึ่งวันนี้มาเกมแน่นไว้ก่อน แต่พอได้ทำเกมบุกขึ้นไปก็น่ากลัวใช้ได้ ทำเอากองหลังของทีมเยือนต้องตื่นตัวกันตลอดเวลาเหมือนกัน
เล่นกันมาได้แค่ 11 นาทีกลายเป็นว่าตอร์เรสต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเขาดันมีอาการบาดเจ็บขึ้นมา แม้ว่าจะพยายามลองฝืนเล่นต่อแต่ก็ไม่ไหว เชลซีจึงต้องส่งเอโต้ลงไปลุยแทน
นาทีที่ 20 ปลดล็อคจนได้สำหรับเชลซีที่ตั้งหน้าจะเอา 3 คะแนนกลับบ้านในเกมนี้ จากการขึ้นเกมทางด้านซ้าย บอลส่งตัดเข้ากลางฝ่าฝูงกองหลังของสเตอัว ก่อนที่เอโต้จะพยายามตวัดยิง แม้บอลจะเด้งไม่เป็นทิศแต่ก็เข้าทางรามิเรสที่สอดตัวเข้าไปจิ้มบอลจ่อๆผ่านผู้รักษาประตูเข้าไป เชลซีนำมาเลย 1-0
เกมผ่านครึ่งชั่วโมงแรก เชลซีมาสไตล์เขี้ยวตามแบบของมูริญโญ่สำหรับเกมนอกบ้าน เมื่อได้ประตูนำแล้วพวกเขาก็แพ็คพื้นที่อย่างแน่น ปล่อยให้ผู้เล่นของสเตอัวครองบอลไป แต่เฉพาะในแดนตัวเอง ก่อนจะหาจังหวะดักตัดสร้างโอกาสบวกเม็ดสอง
นาทีที่ 34 ยังไงก็ต้องให้ได้ดีกว่านี้สำหรับจังหวะของออสการ์ เพราะชูร์เล่อุตส่าห์ตะลุยพาบอลผ่านแบ็คตัดจากข้างมาได้ ก่อนที่จะไหลให้ตั้งป้อมยิงงามๆนอกกรอบ แต่เจ้าตัวซัดด้วยซ้ายโด่งเหินไปไกลลิบตา
นาทีที่ 40 มีหวังโดนมูริญโญ่พ่นไฟใส่แน่ๆสำหรับออสการ์กับสองจังหวะสุดเสียวต่อกัน เมื่อเขาพยายามที่จะเล่นลูกยากส่งคืนกลับให้เพื่อน แต่ดันตักโด่งจนนักเตะเจ้าบ้านเกือบดักได้ ดีที่เทอร์รี่ยังไว แต่กลายเป็นว่าเขาก็ยังดื้อส่งกลับหลังอีกดอก คราวนี้ไม่ตรงลูอีซ แต่โชคดีอีกครั้งที่เช็กอ่านเกมสุดๆ วิ่งควบมาสไลด์เตะสกัดออกไปได้ก่อน
หวังดีเป็นร้าย!กองหลังสเตอัวยิงตัวเองซะงั้น
ก่อนหมดเวลาเพียงนาทีเดียว เชลซีก็มาได้ประตูขึ้นนำจากความยอดเยี่ยมของพวกเขาบวกกับความผิดพลาดของเจ้าบ้าน เมื่อมาต้าจ่ายบอลทะลุพรวดไปให้กับเอโต้ควบหลุดขึ้นทางด้านซ้าย ก่อนจะล็อคหลอกตัดเข้าในแล้วซัดเหมือนสมัยหนุ่มๆ ผู้รักษาประตูไวล้มเซฟได้ทัน แต่กลายเป็นว่าจอร์เจฟสกี้ที่วิ่งพยายามจะมาช่วยดักสกัดนั้นไปเตะบอลที่ปัดออกมาพุ่งเข้าเสียบประตูเต็มๆซะงั้น เชลซีก็เลยนำห่างออกไป 2-0
ต่อมาในช่วงครึ่งหลัง "สิงห์บลูส์" ขยับทำเกมจ่ายบอลกันอย่างคึกคักกดดันทางสเตอัวทั้งที่เจ้าบ้านนั้นตามห่างอยู่ถึง 2-0 ด้วยกัน
นาทีที่ 55 เป็นจังหวะการเล่นสวนกลับที่ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไรสำหรับทางเชลซี โดยกุญแจสำคัญอยู่ที่การพลิกบอลหนีการปะทะของชูร์เล่จากตรงกลางสนาม ก่อนที่จะควบขึ้นด้านข้างแล้วจ่ายกลับไปแถวสองให้ออสการ์เบิ้ลต่อไปให้รามิเรสตั้งป้อมยิงด้วยเท้าขวาเต็มเหนี่ยวตาข่ายกระพือ เชลซีทุบเละ 3-0 พร้อมกับภาพการดีใจของมูริญโญ่ที่ชี้นิ้วเรียกชูร์เล่มาสวมกอดฉลองประตู
อีก 4 นาทีต่อมา อันตรายน่าดูเลยจริงๆสำหรับจังหวะนี้ที่เช็กพยายามที่จะถอยหลังไปปัดบอลซึ่งนักเตะเจ้าบ้านหยอดมาก่ะจะให้เสียบใต้คานทิ้งออกหลังไปได้ แต่มันก็ทำให้ตัวเขาลอยไปชนกับเสาอย่างจัง แต่หลังจากปฐมพยาบาลกันพักหนึ่งก็กลับมาลุยต่อได้
เข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้าย เชลซีไม่จำเป็นต้องเร่งเกมอะไรมากมายอีกแล้ว กลับไปสู่แท็คติกการปล่อยให้สเตอัวครองบอลต่อไปก่อน แล้วพวกเขาก็ค่อยดักเก็บเอาในจังหวะสวนกลับ ซึ่งก็เกือบทำให้ชูร์เล่ได้ใส่สกอร์ซะด้วย
นาทีที่ 74 หวิดเหมือนกันสำหรับเชลซีที่จะเสียประตู ในจังหวะที่สเตอัวโยนบอลจากทางซ้ายมือสลับโยกไปอีกข้าง กองหลังพยายามโดดแล้วแต่ไม่ถึง บอลเลยหลุดไปถึงสแตนชูที่หวดทันที เช็กปัดออกมา แต่เขาก็ได้โอกาสอีกครั้ง แตะหลอกก่อนที่จะยิงแบบเน้นๆ แต่บอลก็เหินหลุดคานออกหลังไป
นาทีที่ 80 ถือว่าทำผลงานได้สมกับที่เอาชนะใจมูริญโญ่มาได้สำหรับมาต้าในเกมนี้ที่มีจังหวะจ่ายเฉียบขาดให้ได้เห็นกัน ก่อนที่เขาจะถูกเปลี่ยนออก แล้วให้วิลเลี่ยนลงสนามไปเล่นแทน
อีก 5 นาทีต่อมา เห็นเกมไม่มีอะไรแล้ว เลยสร้างงานให้มีสักหน่อยสำหคับโคลที่ดันไปจ่ายบอลเข้าเท้าผู้เล่นของสเตอัว ก่อนที่จะโดนยิงเสียวจั้งหนั้บจนเช็กต้องออกแรงบินปัดออกไป แถมยังมาชุลมุนกันต่อในจังหวะเตะมุม แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร
ก่อนหมดเวลาเชลซีมาได้ประตูปิดกล่องชนิดแพ็คแน่นหนาจากลูกยิงนอกกรอบเขตโทษของแลมพาร์ดที่วิ่งมาบวกบอลซึ่งเพื่อนจ่ายมาด้วยขวา บอลพุ่งเลียดผ่านมือผู้รักษาประตูก่อนชิ่งเสาเด้งเข้าประตูไป
จบ 90 นาทีเชลซีกลับสู่ทิศทางที่ควรเป็นไปของพวกเขาอีกครั้ง ด้วยการเอาชนะสเตอัวไป 4-0 คว้า 3 คะแนนแรกในแชมป์เปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ ก่อนขยับขึ้นไปเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่มอีกันเลย