ปิดฉากเป็นแชมป์กลุ่มอย่างสวยงามสำหรับ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด หลังได้ "ลูก้า โมดริช" และ "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" ทำคนละประตูช่วยให้ "ราชันชุดขาว" เอาชนะ "เอฟซี โคเปนเฮเก้น" ไปแบบสบายๆ 2-0
ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มบี
สนาม ปาร์คเก้น
วันอังคารที่ 10 ธันวาคม 2556
เอฟซี โคเปนเฮเก้น 0-2 เรอัล มาดริด เข้าสู่เกมในช่วงแรกมาแค่ 9 นาทีลางร้ายมาเยือนโคเปนเฮเก้นแล้ว นิโคไล ยอร์เกนเซ่น หัวหอกตัวเก่งได้รับบาดเจ็บต้องถูกเปลี่ยนตัวออกให้คริสเตียน โบลานอสลงสนามแทน
ทั้งสองฝ่ายเล่นกันค่อนข้างเร็วแต่ยังไม่มีโอกาสทำประตูจนนาที 13 โคเปนเฮเก้นได้ทักทายก่อน รูริค กิสลาสันกระชากหนีมาร์เซโล่ถึงสุดเส้นฝั่งขวาก่อนตบเข้ากลางถูกแนวรับมาดริดเคลียร์ออกมาเข้าทางแถวสองเจ้าบ้านโหม่งออกซ้ายให้ปิแอร์ เบงก์สันจับแล้ววอลเลย์ด้วยซ้ายข้ามคานไปไหนก็ไม่รู้ แต่นาที 15 มาดริดได้ลุ้นบ้าง อัลบาโร่ อาร์เบลัวลากบอลขึ้นทางฝั่งขวาก่อนหักเข้าซ้ายแล้วเปิดเข้ากลาง แกเร็ธ เบลโฉบตัดหน้าแนวรับเจ้าบ้านสะบัดโหม่งแต่มากไปหน่อย บอลหลุดเสาสองออกหลังไป
มาดริดเริ่มกดดันได้มากกว่าและขึ้นนำจนได้ในนาที 25 จังหวะแรกคริสเตียโน่ โรนัลโด้ซัดฟรีคิกแฉลบออกหลังเป็นลูกเตะมุมฝั่งซ้าย ลูกเปิดของซาบี อลอนโซ่ถูกแนวรับโคเปนเฮเก้นเคลียร์เข้าทางอิสโก้แปะให้ลูก้า โมดริชบริเวณ หัวกระโหลก มิดฟิลด์โครแอตซอยเท้างึกๆๆๆเหมือนจะยิงด้วยซ้ายก่อนคล้องบอลหลอกแนวรับไปอีกทางแล้วปั่นด้วยขวาโค้งเสียบเสาแรกตุงตาข่ายอย่างเหนือชั้น ทีมเยือนออกตัวก่อน 1-0
นาที 32 มาดริดมีลุ้นนำห่าง อลอนโซ่จ่ายเข้ากลางให้เบลตอกส้นเร็วติดลาร์ส ยาค็อบเซ่น แต่บอลกระดอนเข้าทางโรนัลโด้วอลเลย์ด้วยซ้าย บอลติดท็อปสปินเหมือนลูกปิงปองเด้งพื้นจะเสียบเสาแรกแต่โยฮัน วีลันด์ยืนตำแหน่งดีปัดออกหลังไปได้ อีกจังหวะนาที 37 คาริม เบนเซม่าจ่ายจากซ้ายเข้ากลางให้โรนัลโด้เลี้ยงตัดเข้าในแล้วปั่นด้วยขวากะเข้าเสาสองเน้นๆแต่วีลันด์ไวอีกพุ่งปัดออกหลังได้ทัน
เกือบเกิดหัตถ์พระเจ้าขึ้นในเกมนี้แต่ฟ้ามีตา นาที 39 ปิแอร์ เบงก์สันเปิดเตะมุมฝั่งขวาโค้งหาปากประตู โธมัส เดลานีย์โฉบเข้าโหม่งเช็ดตัดหน้าอิเคร์ กาซิยาสตุงตาข่าย หะแรกกรรมการเฟลิกซ์ ไบรช์เหมือนให้ประตูและนักเตะกับแฟนบอลโคเปนเฮเก้นเฮกันแล้ว แต่หลังปรึกษาผู้ตัดสินที่สี่ก็ตัดสินใจไม่ให้เป็นประตูท่ามกลางการประท้วงและเสียงโห่ แต่จากภาพช้าชัดเจนว่าเดลานีย์ใช้มือเปลี่ยนทางบอลอย่างแนบเนียนจึงถือว่าคำตัดสินถูกต้องแล้ว น่าจับไปออกรายการบันทึกกรรมจริงๆสำหรับมิดฟิลด์รายนี้
มาดริดควบคุมเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้โอกาสปิดท้ายครึ่งแรกนาที 44 อลอนโซ่ได้ซัดไกล บอลพุ่งเรียดมีลุ้นเป็นประตูแต่วีลันด์ล้มตัวรับไว้ได้อย่างสวยงาม
จบครึ่งแรกมาดริดนำ 1-0 แบบไม่ต้องออกแรงมากนักเพราะโมเมนตัมมาเองหลังขึ้นนำ ขณะที่โคเปนเฮเก้นต้องปรับเกมอย่างหนักในครึ่งหลังหากยังอยากไปเล่นยูโรปา ลีกให้ได้ในฤดูกาลนี้
กลับมาเจอกันในช่วงครึ่งหลังในนาที 48 มาดริดก็ได้ประตูเพิ่มในรูปแบบคล้ายๆลูกแรก คริสเตียโน่ โรนัลโด้รับบอลจากแดนกลางก่อนกระชากหนีลาร์ส ยาค็อบเซ่นหลุดเข้าเขตโทษแต่แบ็คจอมเก๋าตามมากดดันให้มุมแคบ จังหวะยิงเลยติดเซฟวีลันด์ออกหลังเป็นลูกเตะมุม แนวรับโคเปนเฮเก้นโหม่งเคลียร์เข้าทางมาร์เซโล่ครอสไปเสาไกลเน้นๆให้เปเป้โหม่งชงให้โรนัลโด้ปาดจ่อๆด้วยขวาตุงตาข่าย เป็นประตูที่ 800 ในบอลยุโรปของมาดริดด้วย ทีมเยือนนำห่าง 2-0
นาที 53 โคเปนเฮเก้นมีลุ้นตีตื้นเหมือนกัน ยุสเซฟ ทูทูห์โยนข้ามฟากให้กิสลาสันที่ดูเป็นเรื่องเป็นราวสุดแล้วของเจ้าบ้านเลี้ยงหลบมาร์เซโล่ตามด้วยกระชากหนีนาโช่เข้าเขตโทษฝั่งขวาแล้วกดเต็มๆบอลพุ่งเฉียดเสาแรกออกหลังไป
โคเปนเฮเก้นได้ลุ้นตีตื้นอีกสองครั้งแต่ก็ไม่เสียวซ่านนัก นาที 67 เบงก์สันได้ซัดฟรีคิกด้วยซ้ายสุดแรงแต่แรงเกิน บอลเหินข้ามคานไปไกล อีกจังหวะนาทีถัดมาจากลูกเตะมุมฝั่งขวาเปิดเข้าเขตโทษ บอลขลุกขลิกเด้งเข้าทางเดลานีย์กลับตัววอลเลย์ด้วยซ้ายแต่พระเจ้ายังไม่ยกโทษให้ บอลข้ามคานไปแบบไม่มีลุ้น
เหมือนให้งานรุ่นน้องยังไงชอบกลสำหรับมาดริด นาที 72 อิกอร์ เวโตเคเล่ อีกหนึ่งผลผลิตชั้นดีจากเบลเยี่ยมรับบอลก่อนกระชากหนีแนวรับเข้าเขตโทษแล้วกดเต็มๆด้วยขวาแต่นาโช่ตามมาบล็อคลูกยิงออกหลังทันอย่างหวุดหวิด
นาที 75 โรนัลโด้เกือบบวกเพิ่มให้ตัวเองและทีมได้ อังเคล ดิ มาเรีย ตัวสำรองจ่ายตัดเข้าเขตโทษให้โรนัลโด้ที่หันหลังให้ประตูโชว์สเต็ปแตะซ้ายหันขวาหลอกแนวรับโคเปนเฮเก้นจนหัวหมุนก่อนหวดด้วยซ้ายเน้นๆ บอลโค้งหนีมือวีลันด์ชนเสาเด้งออกมาอย่างน่าเสียดาย
นาที 88 โรนัลโด้ชวดบวกสกอร์ให้ตัวเองอีกครั้งหลังเรียกจุดโทษได้จากจังหวะรับบอลจากเบนเซม่าแล้วกระชากเข้าเขตโทษก่อนเจอเดลานีย์สไลด์เกี่ยวขาจนร่วง สตาร์โปรตุกีสลุกขึ้นมาสังหารเองแบบไม่เน้นเลยทำให้วีลันด์ที่ล้มไปแล้วยืดแขนปัดบอลไว้ได้
จบเกมเป็นอันว่ามาดริดเอาชนะไป 2-0 ปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มอย่างสวยงาม ส่วนโคเปนเฮเก้นอดไปต่อในบอลยุโรปอย่างสุดช้ำ