เป็นทีมทีทำผลงานได้ดีเหนือความหมายแบบชนิดต่อเนื่องกันจนจบรอบแรกเลยทีเดียว สำหรับทางด้านของทีมกล้วยหอม คอสตาริกา ที่ใครๆหลายคนมองว่าเป็นไม้ประดับของฟุตบอลโลกหนนี้ โดยในเกมส่งท้ายรอบแรกคอสตาริกาสามารถยันเสมอทีมสิงโตคำรามไปได้แบบไร้สกอร์ 0-0 ส่งผลให้ทีมสิงโตคำรามกลับบ้านแบบไม่มีชัยชนะติดมือแม้แต่เกมเดียว อย่างไรก็ตามในส่วนของรูปเกมถือว่าทีมสิงโตคำรามทำได้ดีทีเดียว เมื่อเป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า (อัตราครองบอล 53% ต่อ 47%) มีโอกาสจบสกอร์มากกว่า (8 ต่อ 4 ครั้ง) และได้ลูกเตะมุมมากกว่า (7 ต่อ 3 ครั้ง )
ส่วนเรื่องของตัวผู้เล่นก็เป็นไปตามที่ได้มีการแบโผออกมาก่อนล่วงหน้า คือรอย ฮ็อดจ์สันเปลี่ยนผู้เล่นแถมจะยกชุดเลย นักเตะที่ไม่ได้รับโอกาสในสองเกมแรกก็ได้รับโอกาสในเกมนี้ถ้วนหน้า อาทิเช่น รอสส์ บาร์คลี่ย์ อดัม ลัลลาน่า เจมส์ มิลเนอร์ แฟร้งค์ แลมพารด คริส สมอลลิ่ง เบน ฟอสเตอร์ แต่ขณะเดียวกันนักเตะอย่างเวย์น รูนี่ย์ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่เป็นตัวหลักในสองเกมแรกก็ได้ลงมาสัมผัสเกมสุดท้ายนี้ด้วยเช่นกันในฐานะตัวสำรอง โดยราฮีม สเตอร์ลิ่งถูกเปลี่ยนลงสนามมาแทนที่อดัม ลัลลาน่าในนาทีที่ 62 สตีเว่น เจอร์ราร์ดถูกเปลี่ยนลงมาแทนแจ็ค วิลเชียร์ในนาทีที่ 73 และเวย์น รูนี่ย์ถูกเปลี่ยนลงแทนเจมส์ มิลเนอร์นาทีที่ 76
ส่วนผลการแข่งขันของอีกคู่เป็นอุรุวัยที่เฉือนเอาชนะอิตาลีไปได้ 1-0 พร้อมตีตั๋วเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายตามคอสตาริกาไป สรุปตารางคะแนนกลุ่ม D คอสตาริกาเข้ารอบเป็นที่หนึ่งมี 7 คะแนน อุรุกวัยเข้ารอบเป็นที่สองมี 6 คะแนน อันดับสามเป็นอิตาลีมี 3 คะแนน อันดับบ๊วยอังกฤษมี 1 คะแนน ซึ่งนับเป็นบทสรุปที่เซอร์ไพร์สมากๆ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าทีมอย่างคอสตาริกาจะสามารถจบอันดับหนึ่งของกลุ่มหฤโหดนี้ได้ หรือกระทั่งจะผ่านเข้าสู่รอบต่อหลายคนก็ยังมองว่าเป็นเรื่องยากด้วยซ้ำ
