พฤษภาคม 09, 2024, 11:25:06 PM

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - SportsNews

หน้า: 1 2 3 [4] 5
46
แมนฯ ยูไนเต็ด - สโต๊ค ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ)
วันที่ : 20 ตุลาคม 2555
เวลา : 21:00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 2


เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

แมนฯ ยูไนเต็ด :
ปีศาจแดง จากการทำงานของกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำผลงานยอดเยี่ยม ล่าสุดบุกไปขยี้ นิวคาสเซิ่ล 3-0 ก่อนเบรกทีมชาติ ไล่บี้ตามจ่าฝูง เชลซี สี่แต้ม มีข่าวดีก่อนเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กับ สโต๊ค วันเสาร์นี้ เมื่อ แอชลี่ย์ ยัง ปีกทีมชาติอังกฤษ ฟิตเต็มที่กลับมาเป็นตัวเลือกอีกครั้ง หลังหายหน้าไปสามเดือนเพราะอาการเจ็บหัวเข่า แต่ในรายของปราการหลังดาวรุ่ง คริส สมอลลิ่ง เจ็บที่เท้า ยังไม่มีชื่อยู่ในข่ายการพิจารณา แม้ว่าเจ้าตัวใกล้ฟิตเต็มทีแล้วก็ตาม เชื่อว่า เฟอร์กูสัน น่ายึดทีมที่ทำได้ดีในเกมล่าสุดที่เยือนเซนต์ เจมส์ พาร์ค เป็นแกนต่อไป แต่อาจมีสลับให้ ไรอัน กิ๊กส์ หรือ พอล สโคลส์ ลงสนามบ้าง ดาบิด เด เคอา น่ายึดตำแหน่งมือหนึ่งเช่นเดิม ส่วนแดนกลาง ไมเคิ่ล คาร์ริค ปักหลักหน้าแนวรับ ปล่อยให้ ชินจิ คางาวะ, เวย์น รูนี่ย์ และ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ สร้างเกมรุกหลังดาวซัลโวประจำทีม โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
   
สโต๊ค ซิตี้ :
ช่างปั้นหม้อ จากการทำงานของกุนซือ โทนี่ พูลิส โชว์ผลงานไม่เลวนักในเกมล่าสุด เมื่อออกไปคว้าผลเสมอ 0-0 จาก ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ ความพร้อมล่าสุด กุนซือชาวเวลส์ ยังต้องรอเช็กสภาพความฟิตของ เกล็น วีแลน และ ไมเคิ่ล โอเว่น ก่อนการไปเยือน ผีแดง คืนนี้ ข่าวร้าย วีแลน กองกลางจอมลุยแหลก เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าจากเกมกับ ลิเวอร์พูล จนพลาดช่วยทีมชาติไอร์แลนด์หวดกับ เยอรมัน และหมู่เกาะแฟโร ล่าสุดถูกประเมินโอกาสไว้ที่ 50-50 ส่วน โอเว่น ก็มีปัญหาเจ็บโคนขาหนีบ จนพลาดเกมฉะกับทีมเก่า ลิเวอร์พูล และยังไม่แน่ว่า จะได้เจอกับทีมเก่าอีกทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้หรือไม่ แต่อย่างดีก็คงเป็นได้แค่ตัวสำรองไปก่อน ทว่ากองหลัง แอนดี้ วิลกินสัน พ้นโทษแบนสามนัดกลับมาพร้อมลุยอีกครั้ง โดยแนวรุกฝากความหวังที่ ปีเตอร์ เคร้าช์

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

แมนฯ ยูไนเต็ด :
(4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา - ราฟาเอล ดา ซิลวา, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอนนี่ อีแวนส์, ปาทริซ เอวร่า - ไมเคิ่ล คาร์ริค, พอล สโคลส์ - ชินจิ คางาวะ, เวย์น รูนี่ย์, ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ - โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
   
สโต๊ค ซิตี้ :
(4-2-3-1) : อัสเมียร์ เบโกวิช - เจฟฟ์ คาเมรอน, ไรอัน ชอว์ครอสส์, โรเบิร์ต ฮูธ, มาร์ค วิลสัน - สตีเว่น เอ็นซอนซี่, เกล็น วีแลน (ดีน ไวท์เฮด) - จอน วอลเตอร์ส, ชาร์ลี อดัม, ไมเคิ่ล ไคท์ลี่ - ปีเตอร์ เคร้าช์

วิจารณ์เกมการแข่งขัน
เกมคืนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจได้เปรียบมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถิติที่ชี้ว่าพวกเขาไม่เคยแพ้ให้ สโต๊ค เลยตั้งแต่ปี 1976 อย่างไรก็ตาม สไตล์การเล่นของทีมเยือน มีทีเด็ดด้วยการโจมตีด้วยลูกโด่ง จะสร้างปัญหาให้แนวรับเจ้าบ้านได้แน่ ถึง ปีศาจแดง จะคว้าสามแต้มได้ในที่สุด แต่แฟนๆก็คงลุ้นแบบหืดจับเป็นแน่

47
สเปอร์ส - เชลซี (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ)
วันที่ : 20 ตุลาคม 2555
เวลา : 18:45 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1


เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

สเปอร์ส :
ไก่เดือยทอง ภายใต้การทำงานของกุนซือหนุ่ม อันเดร วิลลาช-โบอาช ทำผลงานได้น่าประทับใจ คว้าชัยชนะมาสี่เกมรวดในพรีเมียร์ลีก โดยเกมล่าสุดได้เปิดรังไล่ต้อน แอสตัน วิลล่า 2-0 คืนนี้เตรียมเปิด ไวท์ ฮาร์ท เลน ทำศึกลอนดอนดาร์บี้กับ เชลซี ทีมเก่าของตัวเอง กุนซือหนุ่ม ยังต้องชวดใช้งาน สกอตต์ พาร์เกอร์ กองกลางจอมบุกวัย 32 ที่มีอาการเจ็บเอ็นร้อยหวาย โดยยังไม่ได้ลงสนามเลยนับตั้งแต่กลับมาจาก ยูโร 2012 และคงต้องรอดูอาการยาวไปจนถึงช่วงคริสต์มาสเลยทีเดียว

นอกจากนี้ กองหลังอย่าง เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้ และ ยูเนส กาบุล (หัวเข่าทั้งคู่) ก็ยังชวด แต่ แจ็ค ลิเวอร์มอร์ กับ ไคล์ นอตัน กลับมาลงซ้อมกับเพื่อนๆได้แล้ว หลังมีปัญหาเจ็บโคนขาหนีบ และข้อเท้าตามลำดับ วิลลาช-โบอาช เตรียมจัดทัพชุดที่ดีที่สุดลงสนามเพื่อบู๊กับทีมเก่า โดยตำแหน่งนายทวาร แบรด ฟรีเดล จอมเก๋าที่ได้พักในนัดก่อน พร้อมกลับมาเพื่อทวงตำแหน่งมือหนึ่งคืนจาก อูโก้ โยริส กัปตันทีมชาติฝรั่งเศส ส่วนแดนหลัง วิลเลี่ยม กัลลาส ปราการหลังจอมเก๋าจะเผชิญหน้ากับทีมเก่าตัวเอง ซานโดร กับ มูสซ่า เด็มเบเล่ จะปักหลักหน้าแผงแบ็กโฟร์ โดยมี อารอน เลนน่อน, คลิ้นต์ เดมพ์ซี่ย์ และ แกเร็ธ เบล ทำเกมรุกหลังหอกเป้าอย่าง เจอร์เมน เดโฟ
   
เชลซี :
สิงโตน้ำเงินคราม ของกุนซือ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ยังยึดตำแหน่งจ่าฝูงเหนียวแน่น ล่าสุดเปิดบ้านไล่ถล่ม นอริช 4-1 ความพร้อมล่าสุดก่อนเกมลอนดอนดาร์บี้วันเสาร์นี้ กุนซืออิตาเลียนต้องชวดใช้งาน กัปตันทีม จอห์น เทอร์รี่ ที่ยอมรับโทษแบนสี่นัดจากคดีเหยียดผิว แอนทอน เฟอร์ดินานด์ แน่นอน ในรายของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กองกลางสุดเก๋าที่ถอนตัวออกจากทีมชาติอังกฤษชุดล่าสุด เพราะเจ็บน่อง ยังต้องรอเพื่อเช็กความฟิตก่อน เช่นเดียวกับ ไรอัน เบอร์ทรานด์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งที่ป่วย
แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ดาวยิงผิวเข้ม ยังไม่ฟิตพอ แต่นอกเหนือจากนั้น ถือว่า ดิ มัตเตโอ ยังเหลือขุมกำลังชุดใหญ่ให้เลือกใช้งานอีกมาก โดยคืนนี้เตรียมจัดทัพชุดใหญ่เตรียมบู๊เต็มที่ แกรี่ เคฮิลล์ จะเปลี่ยนมาทำหน้าที่ในแดนหลังแทน เทอร์รี่ โดยจับคู่กับ ดาวิด ลุยซ์ ส่วนแนวรุกมี เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าทีมชาติสเปนเป็นตัวเป้า โดยมีสามประสาน เอแด็น อาซาร์, ฆวน มาต้า และ ออสก้าร์ คอยเปิดป้อน 

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

สเปอร์ส :
(4-2-3-1) : แบรด ฟรีเดล - ไคล์ วอล์คเกอร์, วิลเลี่ยม กัลลาส, สตีเว่น คอลเกอร์, แยน แฟร์ต็องเก้น - ซานโดร, มูสซ่า เด็มเบเล่ - อารอน เลนน่อน, คลินต์ เดมพ์ซี่ย์, แกเร็ธ เบล - เจอร์เมน เดโฟ
   
เชลซี :
(4-2-3-1) : ปีเตอร์ เช็ก - บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, ดาวิด ลุยซ์, แกรี่ เคฮิลล์, แอชลี่ย์ โคล - จอห์น โอบี มิเกล, รามิเรส - ฆวน มาต้า, ออสก้าร์, เอแด็น อาซาร์ - เฟร์นานโด ตอร์เรส

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

บิ๊กแมตช์คืนนี้ ดูแล้วมันแน่นอน ทั้งสองทีมคงขุดไม้ตายมาสู้กันเต็มเหนี่ยว เพราะต่างเต็มไปด้วยผู้เล่นเกมรุก ทีมเยือนขาดผู้นำอย่าง เจที ไปก็คงขาดความดุดันไปเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าบ้านก็คงต้องพะวงกับตัวจี๊ดๆของ เชลซี ที่พร้อมพลิกเกมด้วย สุดท้ายแล้ว มีแนวโน้มลงเอยด้วยผลเสมอแบบมีสกอร์มากที่สุด
 

48
โปแลนด์ - อังกฤษ (ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 2014)
วันที่ : 17 ตุลาคม 2555
เวลา : 22:00 น.



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

โปแลนด์ :
วัลเดมาร์ ฟอร์นาลิค เทรนเนอร์ป้ายแดงของโปแลนด์ แทบจะหัวระเบิดกับการจัดทัพในวันนี้มากทีเดียว เพราะต้องขาดแข้งหลักๆอย่าง ยาคุบ บลาซซีคอฟสกี้ กองกลางกัปตันทีม ที่เจ็บข้อเท้า และถอนตัวกลับไปรักษากับดอร์ทมุนด์ ต้นสังกัดแล้ว แถมทั้ง วอยเชียค เชสนี่ กับ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ นายถวารสุดเทพทั้งสองจากอาร์เซน่อล ก็มาเดี้ยงทั้งคู่ ล่าสุด ลูคัสซ์ พิซเซ็ค แบ็กขวาตัวเก่งจากทีมเสือเหลืองก็ดันมาเจ็บอีกราย  ส่วนในรายของ ออยเก้น โพลันสกี้ ที่กำลังมีปัญหาส่วนตัวอย่างแรงถึงขั้นเดินทางออกจากแคมป์ เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมามาแล้ว ก็ไม่น่าจะได้เล่น ทำให้ เปอร์เซมีสลาฟ ไททัน จะกลับมาเฝ้าเสาอีกครั้ง ส่วน อาเรียล โบริเซี้ยค กับ เกอร์เซกอร์ซ คริโชเวี้ยค สองแข้งสำรองที่ทำผลงานได้ดีในเกมอุ่นเครื่องกับแอฟริกาใต้ จะได้ตัดเกมวันนี้ ตำแหน่งกัปตันจะตกเป็นของ มาร์ซิน วาซิเลฟสกี้ เซนเตอร์ตัวเก๋า เกมนี้ต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ลั่นจะยิงใส่ โจ ฮาร์ท ให้ได้
 
อังกฤษ :
เกมนี้ต้องขาดกำลังหลักสำคัญอย่างแน่นอนเมื่อ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กับ ไรอัน เบอร์ทรานด์ สองดาวรุ่งจากเซลซี ที่เจ็บน่องและป่วยเป็นไข้ตามลำดับ ไม่ฟิตทันเกมนี้อย่างแน่นอน ขณะที่ ธีโอ วัลค็อตต์ ที่เจ็บหนักจากการถูกเข้าปะทะในเกมที่แล้ว ก็ถอนตัวกลับไปรักษาที่อาร์เซน่อลแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง เพราะจะได้ตัวแข้งเทพคืนมาทั้ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม และ เกล็น จอห์นสัน แบ็กขวาตัวหลัก พ้นโทษแบนกลับมา คาดว่า รอย ฮ็อดจ์สัน ยังน่าจะทำการเปลี่ยนนักเตะถึงครึ่งทีมเลยทีเดียว โดยพวกดาวรุ่งหลายราย ที่ได้เล่นในเกมกับ ซานมารีโน อย่าง แกรี่ เคฮิลล์, ไคล์ วอค์ลเกอร์, เลห์ตัน เบนส์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ แดนนี่ เวลเบ็ค จะหลุดไปเป็นสำรองทั้งหมด ส่วน เจอร์ราร์ด, จอห์นสัน, โจลีออน เลสค็อตต์, เจมส์ มิลเนอร์, เจอร์เมน เดโฟ และ แอชลี่ย์ โคล กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง โดยรายหลังสุดจะเป็นการเล่นทีมชาตินัดที่ 100 ด้วย สำหรับ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ที่ทำได้น่าประทับใจจากเกมก่อน น่าจะได้รับโอกาสปั้นเกมต่อไป ประสานงานกับทั้ง มิลเนอร์ และ เวย์น รูนี่ย์ ที่จะอยู่ทางขวา-ซ้าย แล้วห้อย เดโฟ ยืนหอกเป้า
 
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

โปแลนด์ :
โปแลนด์ (4-2-3-1) : เปอร์เซมีสลาฟ ไททัน - เกอร์เซกอร์ซ วอยต์โคเวี้ยค, คามิล กลิค, มาร์ซิน วาซิเลฟสกี้, ยาคุบ วอว์ซีเนี้ยค - อาเรียล โบริเซี้ยค, เกอร์เซกอร์ซ คริโชเวี้ยค - อาเดรียน เมียร์เซเยฟสกี้, ลูโดวิช โอบราเนี้ยค, คามิล โกรซิคกี้ - โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
    
อังกฤษ :
อังกฤษ (4-2-3-1) : โจ ฮาร์ท - เกล็น จอห์นสัน, ฟิล จากีลก้า, โจลีออน เลสค็อตต์, แอชลี่ย์ โคล - ไมเคิ่ล คาร์ริค, สตีเว่น เจอร์ราร์ด - เจมส์ มิลเนอร์, ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์, เวย์น รูนี่ย์ - เจอร์เมน เดโฟ
 
วิจารณ์เกมการแข่งขัน

เกมนี้ อังกฤษ เป็นฝ่ายมาเยือนก็จริง แต่ตอนนี้กำลังจัดจ้านร้อนแรง ต่างกับ โปแลนด์ ที่วันนี้ดูอ่อนแอเหลือเกิน แม้จะได้เล่นในบ้าน แต่ต้องเจอกับงานช้างแน่ เกมน่าจะออกมาเป็นของ สิงโตคำราม ได้บุกซ่ะมากกว่า ก่อนที่สุดท้ายแล้วน่าจะเฉือนเอาชนะได้อย่างน้อยหนึ่งเม็ดเป็นแน่

49
       กล่าวกันไปถึง 2 เหตุผลที่ทำให้ลิเวอร์พูลห่างหายจากความสำเร็จในรายการฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษแล้วนะครับ ทีนี้ก็มาเริ่มกันที่เหตุผลที่ 3 กันต่อเลย ซึ่งก็คือ เรื่องของความกดดันของนักเตะ และฟอร์มการเล่นครับ กล่าวคือ นักเตะหลายๆคนที่ย้ายมาอยู่กับทีมลิเวอร์พูล โดยเฉพาะบรรดานักเตะชื่อดัง นักเตะที่มีชื่อเสียงและเคยโชว์ฟอร์มเยี่ยมกับทีมเก่านั้น พอมาทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล ก็มักที่จะได้รับความกดดันอย่างสูง

       เพราะแฟนบอลของทีมลิเวอร์พูล ต่างก็คาดหวังว่าพวกเขาจะเป็นคนที่มาช่วยให้ทีมลิเวอร์พูลกลับไปประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีก และการที่นักเตะฝีเท้าดีเหล่านั้น ที่เคยโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมกับทีมเก่าได้รับความกดดันเหล่านี้ ก็แน่นอนครับว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลดีต่อตัวนักเตะเองเลย ตรงกันข้ามมันเป็นสิ่งที่ส่งผลให้นักเตะเหล่านั้นไม่สามารถโชว์ผลงานได้อย่างเต็มที่ หรือที่เรียกกันว่าฟอร์มตกนั้นแหละครับ และเมื่อนักเตะชื่อดัง หรือฝีเท้าดีแต่ละคนซึ่งเป็นนักเตะที่แฟนบอล ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล และรวมทั้งทุกคนในสโมสรลิเวอร์พูลคาดหวังเนี๊ย กลับพากันฟอร์มตก ฟอร์มไม่ดีเหมือนตอนอยู่ทีมเก่านั้น ก็แน่นอนเหลือเกินว่า ผลงานโดยรวมของทีมลิเวอร์พูลก็แย่ตามไป หรือถึงไม่แย่ลงแต่มันก็ไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้ ทำให้การลุ้นแชมป์นั้นหลุดลอยไปอีกครับ

       ที่กล่าวมาทั้งหมด 3 บทความนี้ ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์ปัญหาว่าทำไมทีมลิเวอร์พูลนั้นยังคงห่างหายไปจากความสำเร็จในรายการฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษโดยมาจากมุมมองส่วนตัวเท่านั้นนะครับ จริงๆปัญหา หรือเหตุผลที่แท้จริง ที่ถูกต้องในมุมมองของอีกหลายคนอาจจะต่างไปจากนี้ก็ได้ครับ แล้วแต่ว่าใครจะมองอย่างไร ส่วนในเรื่องของการแก้ไขปัญหา จนนำมาซึ่งการทำให้ทีมลิเวอร์พูลกลับมาประสบความสำเร็จในฟุตบอลลีกดังเช่นทีมใหญ่อื่นๆนั้น ก็คงจะต้องเป็นเรื่องที่ทางสโมสรลิเวอร์พูล ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล นักเตะลิเวอร์พูล ณ ปัจจุบันเป็นคนจัดการเอง บรรดาคนดูบอลอย่างเราๆท่านๆก็คงได้แต่ตามลุ้น ตามเชียร์กันต่อไปครับ

50
       สำหรับบทความที่แล้วก็ได้กล่าวกันไปถึงเรื่องที่ว่าการที่ลิเวอร์พูลมีนักเตะไม่ดีพอ หรือไม่มีประสบการณ์ลุ้นแชมป์/มีน้อยเกินไป นั้นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ลิเวอร์พูลห่างหายไปจากความสำเร็จในรายการฟุตบอลลีกของอังกฤษ ในบทความนี้จึงจะมาต่อกันที่เหตุผลที่ถูกต้องกันครับ ว่าตกลงแล้วมันคืออะไร ก็เริ่มกันเลยละกันนะครับ คือเหตุผลแรกเนี๊ย ผมว่าเป็นในเรื่องของระบบการจัดการภายในสโมสร

       ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของผู้จัดการทีมเท่านั้น แต่นับรวมไปถึงฝ่ายบริหารจัดการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทีมลิเวอร์พูลนั้น ไม่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการทีมแก่ผู้จัดการทีม ยิ่งแสดงให้เห็นได้ชัดเลยครับว่าระบบการการจัดการภายในของทีมลิเวอร์พูลนั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการซื้อขายตัวนักเตะ ตัวผู้เล่น หรือแม้กระทั่งการต่อสัญญานักเตะของลิเวอร์พูลก็ดุเหมือนจะติดๆขัดๆไปหมด อย่างในการซื้อขายตัวผู้เล่น แฟนบอลหลายคนก็สังเกตได้ว่า บ่อยครั้งลิเวอร์พูลพลาดการซื้อนักเตะที่ตนเองอยากได้มาร่วมทีม และบ่อยครั้งเช่นกันที่นักเตะเหล่านั้นกลับได้ย้ายไปอยู่ทีมคู่แข่งของลิเวอร์พูล ทั้งนี้ก็เพราะการเจรจาที่ล่าช้า การดำเนินการที่ไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งการซื้อขายนักเตะของทีมลิเวอร์พูล แต่ละครั้ง ก็เป็นไปแบบว่า ซื้อเข้ามาในราคาแพง แต่เวลาขายๆออกถูกด้วยครับ

       ส่วนเหตุผลต่อมานั้น ก็เป็นเหตุผลที่สืบเนื่องกันมาจากเหตุผลเรื่องของการซื้อขายนักเตะนั้นแหละครับ คือเมื่อการจัดการเรื่องการซื้อขายนักเตะไม่ดีมันก็มีปัญหานึงตามมา คือทีมลิเวอร์พูลได้นักเตะที่ไม่เป็นไปตามความต้องการซะทีเดียว หรือไม่ก็อาจจะเป็นนักเตะที่ไม่แมทกับระบบการเล่น ส่งผลให้ผลงานในสนามไม่ดี ไม่คงเส้นคงวา จนทำแต้มล่นหายบ่อยๆโอกาสในการคว้าแชมป์ลีกก็เลยยากตามไปด้วย

51

       ถ้าจะกล่าวถึงทีมยักษ์ใหญ่ในอังกฤษที่ห่างจากความสำเร็จในรายการฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ ไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน แน่นอนว่าหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ติดตามดู ผลบอลอังกฤษ เป็นประจำอยู่แล้วนั้น คงทราบดีว่า ทีมๆนั้นก็คือ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ซึ่งมันก็เลยเกิดคำถามตามมาว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทั้งๆที่ลิเวอร์พูลนั้นเป็นทีมที่ดีลำดับต้นๆของอังกฤษ และในแต่ละยุคสมัยก็มีนักเตะฝีเท้าดีมากมาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาค้าแข้งในทีมๆนี้

       อย่างในช่วงหลังๆมานี้ ลิเวอร์พูลเองก็เคยมีนักเตะระดับเวิร์ลคลาสมากมาย อาทิเช่น เฟร์นานโด ตอเรส, ซาบี อลอนโซ่ หรือแม้กระทั่งนักเตะที่ยังคงอยู่ในทีมจนถึงปัจจุบัน อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ แดเนียล แอ็กเกอร์ เป็นต้น คือถ้าหากจะว่ากันโดยทั่วไปแล้วเนี๊ย นักเตะระดับดังกล่าวนี้ ประกอบกับนักเตะฝีเท้าดีอีกหลายๆคนที่อยู่ในทีมลิเวอร์พูล น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่พาทีมลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จในรายการลีกได้อย่างๆน้อยๆก็สักครั้งนึง แต่ก็อย่างที่ทราบดีว่ามันยังไม่เกิดขึ้น ทั้งๆที่ในสมัยที่ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษยังคงเป็นดิวิชั่น 1 อยู่นั้น ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่คว้าแชมป์ได้มากมายสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่เท่านั้นนะครับ ในบรรดาทีมจากอังกฤษตั้งแต่อดีต จน ณ ปัจจุบันนี้ ลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่ได้แชมป์ถ้วยของยุโรปใบใหญ่มากที่สุดด้วย ซึ่งก็คือ 5 สมัย

       ฉะนั้น หากจะเอาเหตุผลเรื่องของตัวผู้เล่นไม่ดีพอ หรือลิเวอร์พูลไม่มีประสบการณ์ลุ้นแชมป์หรือว่ามีน้อยเกินไป เลยทำให้ที่ผ่านมาลิเวอร์พูลต้องห่างหายไปจากความสำเร็จในเวทีฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ เป็นระยะเวลาอันยาวนานอย่างที่เห็นนั้น ย่อมไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องอย่างแน่นอน แล้วเหตุผลที่ถูกต้องละคืออะไร? ในบทความหน้าเราจะกล่าวมากล่าวกันต่ออีกครับ ยังไงก็ต้องติดตามอ่านด้วยละกันนะครับ

52
นิวคาสเซิ่ล - แมนฯ ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ)
วันที่ : 07 ตุลาตม 2555
เวลา : 22:00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม


นิวคาสเซิ่ล :
สาลิกาดง จากการทำงานของกุนซือ อลัน พาร์ดิว ออกไปยันเสมอ เร้ดดิ้ง 2-2 ในพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุด ก่อนเปิดบ้านไล่ถล่มบอร์กโดซ์ เละเทะ 3-0 ใน ยูโรปา ลีก เมื่อวันพฤหัสบดี สำหรับการเปิด สปอร์ตส์ ไดเรกต์ อารีน่า รับ แมนฯ ยูไนเต็ด วันอาทิตย์นี้ พาร์ดิว น่าเรียกตัวสี่ดาวรุ่งให้กลับมาช่วยทีมบู๊ ผีแดง หลังให้พักในเกมยุโรป ทั้งกองหลัง ดาวิเด้ ซานตอน, กองกลาง โฮนาส กูเตียร์เรซ และ ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา กับกองหน้า เดมบา บา

นอกจากนี้ แดนนี่ ซิมพ์สัน ฟูลแบ็กจอมบุกแหลก ก็พร้อมฉะกับสังกัดเก่าด้วย หลังจากที่หายเจ็บเอ็นหลังหัวเข่ากลับมาเล่นเกม ยูโรปา ลีก กับบอร์กโดซ์ ได้แล้ว ส่วนแข้งตัวเก่งรายอื่นๆ ถือว่าดีที่สุดเท่าที่มีในเวลานี้ โดยมือกาว สตีฟ ฮาร์เปอร์ พร้อมกลับมายึดตัวจริงคืนจาก ร็อบ เอลเลียตต์ ที่ได้เฝ้าเสาเจอกับ ทีมจากแดนน้ำหอมก่อนเจ็บไหล่ ซึ่งล่าสุด ได้มีการดันดาวรุ่งวัย 19 ชื่อ เจค อัลน์วิค ขึ้นเป็นมือสองชั่วคราวระหว่างที่ ทิม ครูล ตัวจริงเจ็บศอก แต่พวกที่ยังเจ็บอยู่ก่อนหน้านี้อย่างกองหลัง ฟาบริซิโอ โกลอชชินี่ (เอ็นหลังหัวเข่า) และ สตีเว่น เทย์เลอร์ (น่อง) ยังไม่ฟิตพอ เช่นเดียวกับ ไรอัน เทย์เลอร์
   
แมนฯ ยูไนเต็ด :
ปีศาจแดง ของกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เสียหน้าอย่างแรงในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดที่โดน สเปอร์ส บุกซัด 3-2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนออกไปกู้หน้าคว้าชัยเหนือ คลูช 2-1 ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่โรมาเนีย ช่วงกลางสัปดาห์ สำหรับเกมวันอาทิตย์นี้ สามกองกลางจอมเก๋าอย่าง ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์ และ ไมเคิ่ล คาร์ริค ก็พร้อมกลับมาเป็นตัวเลือกให้ เฟอร์กูสันอีกครั้ง หลังจากที่ชวดเดินทางไปโรมาเนียด้วย โดย กิ๊กส์ กับ คาร์ริค ป่วย ขณะที่ สโคลส์ ได้พัก ส่วนกองหลัง จอนนี่ อีแวนส์ ที่มีอาการเจ็บขาระหว่างเกมที่แดนผีดิบ หายทันลงยืนคู่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ แต่ อันโตนิโอ วาเลนเซีย, แอชลี่ย์ ยัง, คริส สมอลลิ่ง, เนมานย่า วิดิช และ ฟิล โจนส์ ยังไม่พร้อมรีเทิร์น

เฟอร์กี้เตรียมจัดชุดที่ดีที่สุดลงสนาม โดย ดาบิด เด เคอา มีลุ้นยึดมือหนึ่งคืนจาก อันเดอร์ส ลินเดการ์ด หลังโชว์เซฟงามๆ ในเกมกลางสัปดาห์ ส่วนฟูลแบ็กขวา-ซ้ายยังน่าเป็น ราฟาเอล ดา ซิลวา กับ ปาทริซ เอวร่า แดนกลาง คาร์ริค คงกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง โดยมี ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ที่ฟิตแล้วพร้อมลุยเคียงข้าง ส่วนแนวรุก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ จะได้เป็นตัวจริงคู่กับ เวย์น รูนี่ย์ ครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก หลังประสานงานกันได้ไหลลื่นเมื่อกลางสัปดาห์ นอกจากนี้ ชินจิ คางาวะ กับ นานี่ ที่ได้พักเมื่อกลางสัปดาห์ ก็ลุ้นตัวจริง

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

นิวคาสเซิ่ล :
(4-4-2) : สตีฟ ฮาร์เปอร์ - แดนนี่ ซิมพ์สัน, เจมส์ เพิร์ช, ไมค์ วิลเลียมสัน, ดาวิเด้ ซานตอน - ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา, โยอัน กาบาย, ชีค ติโอเต้, โฮนาส กูเตียร์เรซ - เดมบา บา, ปาปิสส์ ซิสเซ่
:   
แมนฯ ยูไนเต็ด :
(4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา - ราฟาเอล ดา ซิลวา, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอนนี่ อีแวนส์, ปาทริซ เอวร่า - ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, ไมเคิ่ล คาร์ริค - หลุยส์ นานี่, เวย์น รูนี่ย์, ชินจิ คางาวะ - โรบิน ฟาน เพอร์ซี่

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

สาลิกาดง สถิติเก่าเป็นรองก็จริง แต่ 2 ฤดูกาลหลังในสปอร์ตส์ ไดเรกต์ อารีน่า ก็แข็งแกร่งไม่พ่ายให้ทีมเยือน หากเป็นเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อาจจะคาดเดาผลการแข่งขันได้ไม่ยาก แต่เกมในนี้เจ้าถิ่นเล่นในบ้านน่าจะพอสู้ได้ แนวรุกก็จัดจ้านดุดันไม่น้อย ทีมเยือนยังมีปัญหาแนวรับ ขณะที่แดนกลางนักเตะก็อายุมาก บวกกับเสียงเชียร์ กำลังใจจากแฟนๆ น่าลุ้นเสมอกันดุเดือด

53
ลิเวอร์พูล - สโต๊ค ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ)
วันที่ : 07 ตุลาคม 2555
เวลา : 21:00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 2



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

ลิเวอร์พูล :
หงส์แดง ภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส โล่งอกขึ้นมาหน่อย เมื่อได้คว้าชัยชนะนัดแรกในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว หลังบุกขย้ำ นอริช 5-2 ก่อนที่โดน อูดิเนเซ่ บุกปราบ 3-2 ในเกม ยูโรปา ลีก ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับเกมที่แอนฟิลด์วันอาทิตย์นี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เตรียมรวบรวมขุมกำลังตัวเก่งคืนทัพเป็นตัวจริง หลังจากที่ให้พัก และใช้งานทีมชุดสองในเกมยุโรป จอนโจ เชลวี่ย์ กองกลางตัวเก่งที่โขกประตูให้ทีมนำ อูดิเนเซ่ จะไม่มีสิทธิ์ได้ลงสนามในสัปดาห์นี้ เพราะติดโทษแบน ขณะที่ โฆเซ่ เอ็นริเก้ กับ โจ โคล ยังอยู่ระหว่างรักษาตัวจากอาการเจ็บหัวเข่า และเอ็นหลังหัวเข่าก่อนหน้านี้ ส่วน มาร์ติน เคลลี่ (หัวเข่า) และ ลูคัส เลวา (ต้นขา) ยังต้องพัก ขุมกำลังดาวเด่นที่ช่วยให้ทีมถล่ม นอริช พร้อมกลับมาช่วยทีมทั้งคู่ปราการหลัง มาร์ติน สเคอร์เทล กับ แดนนี่ แอ็กเกอร์ รวมถึงฟูลแบ็กดาวโรจน์ อันเดร วิสดอม ส่วนแดนกลาง สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมจะนำทัพร่วมกับ นูริ ซาฮิน ขณะที่ดาวรุ่งอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง คงถูกเรียกตัวให้ช่วยงานกองหน้าตัวเก่ง หลุยส์ ซัวเรซ เหมือนสุดสัปดาห์ก่อน แต่ ซูโซ่ ส่อแววเสียตำแหน่งตัวจริงคืนให้ ฟาบิโอ บอรินี่
   
สโต๊ค ซิตี้ :
ช่างปั้นหม้อ ของกุนซือ โทนี่ พูลิส ได้ลิ้มรสชัยชนะนัดแรกในพรีเมียร์ลีกไปแล้วเช่นกัน เมื่อเปิดบ้านถล่ม สวอนซี 2-0 เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ในการยกทีมไปเยือน หงส์แดง วันอาทิตย์นี้ ถือว่ากุนซือชาวเวลส์โชคดี ที่มีขุมกำลังแข็งแกร่งชุดใหญ่ให้เลือกใช้งานเต็มที่ ปีเตอร์ เคร้าช์, ไมเคิ่ล โอเว่น และ ชาร์ลี อดัม พร้อมลงบู๊กับอดีตต้นสังกัดเก่าเต็มที่ โดยต่างฝ่าย ต่างต้องการคว้าหาชัยชนะเป็นนัดที่สองติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก หลังเพิ่งชนะนัดแรกทั้งคู่เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม หนึ่งคนที่ทำได้เพียงนั่งดูอยู่ขอบสนามอย่างแน่นอนคือ แอนดี้ วิลกินสัน กองหลังที่ติดโทษแบนเป็นนัดสุดท้ายจากทั้งหมดสามนัด โดยนักเตะส่วนใหญ่ น่าเป็นชุดที่ทำได้ดีในเกมที่แล้ว ในระบบ 4-2-3-1 โดยให้ สตีเว่น เอ็นซอนซี่ กองกลางตัวใหม่ปักหลักหน้าแนวรับ ส่วนหอกเป้าได้แก่ ปีเตอร์ เคร้าช์

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

ลิเวอร์พูล :
(4-3-3) : โฆเซ่ เรน่า - อับเดร วิสดอม, มาร์ติน สเคอร์เทล, แดนนี่ แอ็กเกอร์, เกล็น จอห์นสัน - นูริ ซาฮิน, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, โจ อัลเลน - หลุยส์ ซัวเรซ, ฟาบิโอ บอรินี่, ราฮีม สเตอร์ลิง
   
สโต๊ค ซิตี้ :
(4-2-3-1) : อัสเมียร์ เบโกวิช - เจฟฟ์ คาเมรอน, ไรอัน ชอว์ครอสส์, โรเบิร์ต ฮูธ, มาร์ค วิลสัน - สตีเว่น เอ็นซอนซี่, เกล็น วีแลน - จอน วอลเตอร์ส, ชาร์ลี อดัม, ไมเคิ่ล ไคท์ลี่ - ปีเตอร์ เคร้าช์

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

ทีมช่างปั้นหม้อ ยังคงแผนการรบที่เหนียวแน่นแบบเดิมๆ ยากแก่การต่อกร พวกเขายันเสมอ แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล, และบุกแพ้ เชลซี จากประตูโทนท้ายเกมอย่างน่าประทับใจ ผลงานแบบนี้มีแต่จะสร้างความปวดหัวให้แก่ ลิเวอร์พูล ถึงอย่างนั้น คิดว่า หงส์แดง จะผ่านพ้นไปได้ หากสามารถล็อกประกบ ปีเตอร์ เคร้าช์ ไม่ให้แผงฤทธิ์ใส่สังกัดเก่า หลังอยู่ในช่วงเข้าฝักซัดไป 4 จาก 5 เกมล่าสุดที่ลงตัวจริง

54
เชลซี - นอริช ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ)
วันที่ : 06 ตุลาคม 2555
เวลา : 21:00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

เชลซี :
สิงโตน้ำเงินคราม จากการคุมทีมของกุนซือ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ โชว์ฟอร์มเก่งบุกเชือด อาร์เซน่อล 2-1 จนรั้งบัลลังก์จ่าฝูงเหนียวแน่น ก่อนออกไปถล่มย นอร์เชลลันด์ ยับเยิน 4-0 ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ความพร้อมล่าสุด กุนซืออิตาเลียน ไม่ต้องเจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บเพิ่มเติม หรือติดโทษแบน โดย จอห์น เทอร์รี่ กองหลังกัปตันทีมที่ได้พักในถ้วยยุโรป ยังอยู่พร้อมช่วยทีมหลังจากอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่า จะอุทธรณ์โทษแบนสี่นัดจากคดีเหยียดผิว แอนทอน เฟอร์ดินานด์ หรือไม่ โดยมีเวลาถึงวันที่ 18 ตุลาคมนี้   

อย่างไรก็ตาม แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ดาวยิงผิวสีเข้มยังไม่ฟิต แต่นอกเหนือจากนั้น ถือว่า ดิ มัตเตโอ มีขุมกำลังชุดใหญ่ให้เลือกใช้งานมากมาย ทั้งนี้เป็นที่คาดหมายว่า ดิ มัตเตโอ เตรียมจัดทัพชุดใหญ่ โดยแนวรุกมี เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าทีมชาติสเปนเป็นตัวจริง ขณะที่ เอแด็น อาซาร์ กับ จอห์น โอบี มิเคล ที่ได้พักเป็นสำรองในถ้วยยุโรป พร้อมหวนคืนตำแหน่งตัวจริงอีกครั้ง
   
นอริช ซิตี้ :
นกขมิ้นเหลืองอ่อน จากการทำงานของกุนซือ คริส ฮิวจ์ตัน ยังตามหาชัยชนะนัดแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ หลังจากที่นัดก่อนถูก ลิเวอร์พูลบุกถล่มเละไม่เป็นท่า 5-2 เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานว่า นอริช จะได้ตัว เซบาสเตียง บาสซง กองหลังจอมพลัง หายเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า กลับมาอีกครั้งในการเยือนรังแชมป์ยุโรป

นอกจากนี้ ปีกจอมเลื้อย แอนโธนี่ พิลคิงตัน (หลัง) ก็กลับมาซ้อมได้แล้ว และน่าได้อยู่ในข่ายการพิจารณาอีกครั้งด้วย
ส่วนฟูลแบ็ก สตีเว่น วิทเทเกอร์ (ข้อเท้า) ยังอยู่ระหว่างพักฟื้น ขณะที่ แฮร์รี่ เคน หัวหอกดาวรุ่งที่ยืมมาจากสเปอร์สต้องพักรักษาอาการกระดูกเท้าแตก

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

เชลซี :
(4-2-3-1) : ปีเตอร์ เช็ก - บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, ดาวิด ลุยซ์, จอห์น เทอร์รี่, แอชลี่ย์ โคล - จอห์น โอบี มิเคล, รามิเรส - ฆวน มาต้า, ออสการ์, เอแด็น อาซาร์ - เฟร์นานโด ตอร์เรส
   
นอริช ซิตี้ :
(4-4-2) : จอห์น รัดดี้ - รัสเซล มาร์ติน, ลีออน บาร์เน็ตต์, เซบาสเตียง บาสซง, ฆาเบียร์ การ์ริโด้ - โรเบิร์ต สน็อดกราสส์, จอนนี่ ฮาวสัน, แบร็ดลี่ย์ จอห์นสัน, แอนดรูว์ เซอร์แมน - ซิเมี่ยน แจ็คสัน, สตีฟ มอริสัน 

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

เชลซี กำลังร้อนแรงแบบสุดๆ โดยนับแค่ในลีก ชนะไปห้า, ยิง 11 และไม่เสียประตูสี่เกม ตัวรุกมีให้เลือกใช้งานเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้สถิติก็สุดยอด เมื่อไม่เคยแพ้ต่อ นกขมิ้นเหลืองอ่อน ทั้งในบ้าน และนอกบ้านตั้งแต่ปี 1994 แล้ว ยิ่งทีมเยือนผลงานกำลังย่ำแย่แบบสุดๆ ไม่ชนะใครเลยในหกเกม ยิงได้แค่สี่ แถมเสียไปถึงห้าลูกจากสองเกมหลัง มีหวัง สิงโตน้ำเงินคราม จัดไปหลายลูกแน่คืนนี้
 

55
แมนฯ ซิตี้ - ซันเดอร์แลนด์ (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ)
วันที่ : 06 ตุลาคม 2555
เวลา : 18:45 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

แมนฯ ซิตี้ :
เรือใบสีฟ้า แชมป์เก่าของกุนซือ โรแบร์โต้ มันชินี่ ต้องการกู้หน้าคืนมาหลังจากทำได้แค่เสมอ ดอร์ทมุนด์ 1-1 ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียน ต้องเจอข่าวร้ายเมื่อสองมิดฟิลด์ตัวหลักอย่าง ฆาบี การ์เซีย และ ยาย่า ตูเร่ ต่างมีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งคู่ การ์เซีย แข้งหน้าใหม่ที่เพิ่งย้ายมามาดๆ มีอาการเจ็บต้นขา จนโดนเปลี่ยนตัวออกระหว่างเกมกับ เสือเหลือง ขณะที่ ตูเร่ ต้องกระเผลกออกจากสนามท้ายเกม แม้ มันโช่ จะมองโลกในแง่ดีกว่า อาการไม่หนักหนาก็ตาม

ขณะเดียวกัน โจลีออน เลสค็อตต์ ปราการหลังทีมชาติอังกฤษ น่าเป็นตัวเลือกให้ใช้บริการอีกครั้งในนัดนี้ หลังหลุดโผไปเมื่อวันพุธ เช่นเดียวกับ คาร์ลอส เตเวซ ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา ที่จะกลับมาทวงตำแหน่งตัวจริงคืน เหมือนในเกมพรีเมียร์ลีกสัปดาห์ก่อนที่พลิกกลับมาแซง ฟูแล่ม 2-1
   
ซันเดอร์แลนด์ :
แมวดำ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ มาร์ติน โอนีล ได้ลิ้มรสชาติชัยชนะนัดแรกของฤดูกาลแล้ว หลังจากที่เปิดบ้านเชือด วีแกน 1-0 มีรายงานว่า การ์ลอส เกย่าร์ กองหลังชาวสแปนิช น่าจะฟิตกลับมาเป็นตัวเลือกอีกครั้ง หลังหายหน้าไปสามเกมเพราะเจ็บ ก่อนเพิ่งจะลงซ้อมกับเพื่อนๆได้แบบเต็มๆ

อย่างไรก็ตาม ลี แคตเทอร์โมล กองกลางเท้าไฟ ยังต้องชดใช้โทษแบนเป็นนัดที่สอง จากทั้งหมดสามนัด ส่วน ฟิล บาร์ดสลี่ย์ (ข้อเท้า) และ เวส บราวน์ (หัวเข่า) ต่างกำลังอยู่ระหว่างเรียกความฟิต โดยรายแรก ใกล้เต็มร้อยแล้ว โดยมีคิวลงเล่นให้ทีมรุ่น ยู-21 ในคืนวันจันทร์หน้า เชื่อว่า กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ คงยึดทีมชุดล่าสุดที่เล่นได้ดีต่อไป เพื่อบู๊กับเรือใบคืนนี้ นำทีมโดย สตีเว่น เฟล็ทเชอร์ กองหน้าค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ที่เป็นคนเหมายิงทั้งห้าประตูของ ซันเดอร์แลนด์ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

แมนฯ ซิตี้ :
(4-2-3-1) : โจ ฮาร์ท - ปาโบล ซาบาเลต้า, โจลีออน เลสค็อตต์, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, กาแอล กลิชี่ - แกเร็ธ แบร์รี่, ยาย่า ตูเร่ (แจ็ค ร็อดเวลล์) - ดาบิด ซิลบา, เซร์คิโอ อเกวโร่, ซามีร์ นาสรี่ - คาร์ลอส เตเวซ
   
ซันเดอร์แลนด์ :
(4-4-1-1) : ซิมง มิโญเล่ต์ - เคร็ก การ์ดเนอร์, จอห์น โอเช, ไตตัส บรัมเบิ้ล, แดนนี่ โรส - อดัม จอห์นสัน, เซบาสเตียน ลาร์สสัน, แจ็ค โคลแบ็ค, เจมส์ แม็คคลีน - สเตฟาน แซสเซอญง - สตีเว่น เฟล็ทเชอร์

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

แมนฯ ซิตี้ อาจไม่แพ้ในหกนัดของพรีเมียร์ลีก แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยที่จะไม่เสียประตูเลยแม้แต่นัดเดียว อย่างไรก็ตาม แนวรุกยังยอดเยี่ยม นอกจากนี้ สถิติในบ้านกับ แมวดำ ก็เหนือชั้นกว่าสุดๆ โดยซัดได้ถึง 12 ลูกในการพบกันสามหนหลังที่ อีสต์แลนด์ส เพียงแต่คราวนี้ อาจไม่ง่ายเหมือนเดิม แฟนๆ เรือใบสีฟ้า คงต้องลุ้นให้เม็ดแรกมาเร็วๆ เพื่อจะได้มีลูกอื่นตามมา แมนฯ ซิตี้ อาจจะทำประตูได้ แต่แฟนๆคงต้องลุ้นจนหืดขึ้นคอเลยทีเดียว

56
นิวคาสเซิ่ล - บอร์กโดซ์ (ยูโรป้า ลีก)
วันที่ : 04 ตุลาคม 2555
เวลา : 02:05 น.



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

นิวคาสเซิ่ล :
นิวคาสเซิ่ล จากการคุมทีมของกุนซือ อลัน พาร์ดิว เกมนี้ไม่มี ทิม ครูล, ฟาบริซิโอ โกลอชชินี่, ไรอัน เทย์เลอร์ กับ แดนนี่ ซิมพ์สัน สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ด้าน ปาปิส เดมบา ซิสเซ่, เดมบา บา, โยอัน กาบาย, ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา กับ โฮนาส กูเตียร์เรซ อาจได้โอกาสพักแข้ง เพื่อเก็บกำลังไว้รับศึกใหญ่ ที่ต้องบู๊กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ช่วงค่ำวันอาทิตย์ ดังนั้นโอกาสจึงอาจตกเป็นของผู้เล่นสำรองเหมือนเกมเยือน มาริติโม่ ทีมสาลิกาดง จะลงเล่นระบบ 4-4-2 มี สตีฟ ฮาร์เปอร์ เฝ้าเสา แนวรับ 4 คนเป็น เจมส์ เพิร์ส, ไมค์ วิลเลียมสัน, สตีเฟ่น เทย์เลอร์, ดาวิเด้ ซานตอน ในแดนกลางมี กาเบรียล โอแบร์กต็อง, ชีค ติโอเต้, แดน กอสลิ่ง, โรแม็ง อามัลฟิตาโน่ ลงทำเกม โดยมี กาแอล บิชิรีมาน่า เป็นตัวสอดแทรก ส่วน โชล่า อเมโอบี้ จะลงเล่นกองหน้าคู่ แฮริส วุชคิช
   
บอร์กโดซ์ :
บอร์กโดซ์ ของกุนซือ ฟร็องซัวส์ ชิลโล่ต์ นัดนี้จะไม่มี ฟาฮิด เบน คัลฟาล่าห์, นิโกล่าส์ โมริซ เบอเล่ย์ กับ เกรกอรี่ แซร์กติช สภาพร่างกายยังไม่ฟิตพอ ด้าน ลูโดวิช โอบราเนียค กับ โยอัน กรุฟฟร็อง จะได้โอกาสพักแข้งมีชื่อเป็นตัวสำรองเท่านั้น ยังมีข่าวดีบ้าง ดาวิด แบลลิยง กับ มาติเยอ ชาลเม่ ฟิตกลับมาพร้อมเป็นตัวเลือกลงสนาม สำหรับ อองรี เซเว่ต์ กับ ชุสซี่ แฟร์เรยร่า วิเอยร่า กับ ล็องดรี้ เอ็นกูเอโม่ พร้อมหวนคืนสู่ทีมตัวจริง ทีมเยือนจากฝรั่งเศส จะลงเล่นระบบ 5-3-1-1 มี เซดริก การ์ราสโซ่ เฝ้าเสา แนวรับ 5 คนเป็น มาติเยอ ชาลเม่, คาร์ลอส เอนรีเก้, มาร์ก ปลานุส, ลูโดวิช ซาเน่, เบอนัวต์ เทรมูลินาส ด้าน ยาโรสลาฟ ปลาซิล, ล็องดรี้ เอ็นกูเอโม่, อองรี เซเว่ต์ จะลงทำเกมแดนกลาง โดยมี ชุสซี่ แฟร์เรยร่า วิเอยร่า เชื่อมเกมรุกหลัง ชีค เดียบาเต้ ซึ่งรับบทหน้าเป้า

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

นิวคาสเซิ่ล :
(4-4-2) : สตีฟ ฮาร์เปอร์ - เจมส์ เพิร์ส, สตีเฟ่น เทย์เลอร์, ไมค์ วิลเลียมสัน, ดาวิเด้ ซานตอน - กาเบรียล โอแบร์กต็อง, ชีค ติโอเต้, แดน กอสลิ่ง, โรแม็ง อามัลฟิตาโน่ - โชล่า อเมโอบี้, แฮริส วุชคิช
   
บอร์กโดซ์ :
(5-3-1-1) : เซดริก การ์ราสโซ่ - มาติเยอ ชาลเม่, คาร์ลอส เอนรีเก้, มาร์ก ปลานุส, ลูโดวิช ซาเน่, เบอนัวต์ เทรมูลินาส - ยาโรสลาฟ ปลาซิล, ล็องดรี้ เอ็นกูเอโม่, อองรี เซเว่ต์ - ชุสซี่ แฟร์เรยร่า วิเอยร่า - ชีค เดียบาเต้

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

นิวคาสเซิ่ล ที่ได้เปรียบเฉพาะการเล่นในบ้าน แต่ฟอร์มแท้จริงโดยรวมไม่ได้เหนือกว่า ศักยภาพทีมยังไม่ต่างกันมากนัก ขณะเดียวกัน บอร์กโดซ์ วางแผนการเล่นมาแบบรัดกุม เน้นรับและเกมโต้กลับเร็วของทีมเยือนยังอันตรายคาดหวังผลได้ทุกจังหวะจาก ชีค เดียบาเต้ หรือ ชุสซี่ แฟร์เรยร่า วิเอยร่า ซึ่งน่าจะสร้างความกดดัน ให้แนวรับคู่แข่งอย่าง สาลิกาดง ได้อย่างต่อเนื่องและมีโอกาสบุกมาเก็บชัยกลับถิ่นเช่นกัน

57
ลิเวอร์พูล - อูดิเนเซ่ (ยูโรป้า ลีก)
วันที่ : 04 ตุลาคม 2555
เวลา : 02:05 น.



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

ลิเวอร์พูล :
ทีมหงส์แดง ภายใต้การคุมทีมของ เบรนดัน ร็อดเจอร์ส ในที่สุดก็เก็บชัยชนะนัดแรกในลีกได้แล้ว ด้วยฟอร์มสุดยอดถล่ม นอริช 5-2 และในเกมยูโรปา นัดแรกก็บุกชนะ ยัง บอยส์ 5-3 ได้ด้วย สภาพทีมโดยรวมถือว่าโอเค ขาดแค่ มาร์ติน เคลลี่, ลูคัส เลว่า ที่เจ็บ รายของ ดาเนียล แอ็กเกอร์ ก็หายเจ็บฟิตกลับมาแล้ว แต่คงยังไม่เสี่ยงส่งลงสนามให้เป็นแค่สำรองไปก่อน โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ เหล่านักเตะสำรองและดาวรุ่งได้ลงเล่นเช่นเดิม โดยเฉพาะ โจ โคล กับ และ โฆเซ่ เอ็นริเก้ ที่น่าจะกลับมาฟิตอย่างเต็มที่ และมีลุ้นลงตัวจริง ทางด้านดาวรุ่งอย่าง อังเดร วิสดอม, เซบาสเตียน โกอาเตส, อุสซามา อัสไซดี้,  ซูโซ่ และ ดาเนียล ปาเชโก้ มีลุ้นทั้งหมด โดยมีตัวชุดใหญ่อย่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และอาจรวม ฟาบิโอ บอรินี่ คอยประคอง ผู้รักษาประตูก็ใช้ แบรด โจนส์
   
อูดิเนเซ่ :
อูดิเนเซ่ ภายใต้การคุมทีมของ ฟรานเชสโก้ กุยโดลิน เกมแรกพาทีมเสมอกับ อันจิ ไป 1-1 โดยในลีกไม่ชนะใครมา 4 นัดผลงานย่ำแย่แบบสุดๆ เกมนี้พาทีมไปเยือน ลิเวอร์พูล โดยเรียกนักเตะ 20 รายด้วยกัน มีแค่ ดูซาน บาสต้า กองหลังรายเดียวที่ไม่ได้เดินทางไปกับทีมเพราะยังไม่ฟิต นำโดย อันโตนิโอ ดิ นาตาเล่ กองหน้ากัปตนทีมที่น่าจะกลับสู่ทีม หลังโดนตัดชื่อในเกมลีกนัดล่าสุด เพราะไปมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัว แนวรับก็มีข่าวดี เมาริซิโอ โดมิซซี่ กลับมาฟิตแล้ว นอกจากนั้น ตัวจริงน่าจะปรับถึง 5 ตำแหน่ง ดานิเอเล่ ปาเดลลี่, เมาริซิโอ โดมิซซี่, ปาโบล อาร์เมโร่, เอ็มมานูเอล อั๊กเยมัง-บาดู และ วิลเลี่ยนส์ จะลงเล่นแทน เซลจ์โก้ เบอร์คิช, อันเดรีย โคด้า, โจวานนี่ ปาสกวาเล่, จามปิเอโร่ ปินซี่ และ ดีเอโก้ ฟับบรินี่  ตามลำดับ

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

ลิเวอร์พูล :
(4-2-3-1) : แบรด โจนส์ - อังเดร วิสดอม, เจมี่ คาร์ราเกอร์, เซบาสเตียน โกอาเตส, โฆเซ่ เอ็นริเก้ - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอนโจ เชลวี่ย์ - อุสซามา อัสไซดี้, เฆซุส ฆัวกิน เฟร์นานเดซ ซาเอนซ์ เด ลา ตอร์เร่ "ซูโซ่", ฟาบิโอ บอรินี่ - ดาเนี่ยล ปาเชโก้
   
อูดิเนเซ่ :
(4-2-3-1) : ดานิเอเล่ ปาเดลลี่ - ดานิโล่ ลารานเกร่า, เมาริซิโอ โดมิซซี่, เมห์ดี้ เบนาเตีย, ปาโบล อาร์เมโร่ - มาร์โก ดาวิเด้ ฟาราโอนี่, เอ็มมานูเอล อั๊กเยมัง-บาดู - อันเดรีย ลาซซารี่, โรเบร์โต้ เปเรย์ร่า, "วิลเลี่ยนส์" โดมิงโกส แฟร์นานเดส - มาธิอัส ราเนกี้

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

อูดิเนเซ่ มีประสบการณ์โชกโชยในสนามยุโรปมาพอสมควร ออกไปเยือนเกมนี้ไม่สั่นเวทีแน่นอน แล้วพวกเขาเล่นไม่กดดันด้วย ยิ่ง ลิเวอร์พูล พักตัวหลักไปหลายราย ยิ่งไม่เหนือกว่าทีมเยือนเลย นัดนี้มีลุ้นออกเสมอมากทีเดียว

58
อาแจ๊กซ์ - เรอัล มาดริด (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก)
วันที่ : 03 ตุลาคม 2555
เวลา : 01:45 น.
ถ่ายทอดสด : ช่อง9,ทรูสปอร์ต5



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

อาแจ๊กซ์ :
แฟร็งค์ เดอ บัวร์ กุนซือของอาแจ็กซ์ พาทีมพ่ายต่อ ดอร์ทมุนด์ มาในนัดแรก ทำให้เกมนี้ต้องไล่ล่าหา 3 คะแนนให้ได้เพื่อโอกาสลุ้นเข้ารอบต่อไป แต่นัดนี้จะไม่มี โคลเบนน์ ซิกธอร์สสัน ที่เจ็บหัวไหล่อย่างหนัก ต้องพักยาวอย่างน้อย 4 เดือนเต็ม ส่วนตัวหลักที่เหลืออยู่กันครบ นำโดยแนวรุกอย่าง โทเบียส ซาน่า, ไรอัน บาเบิล และ  เดิร์ค บัวริกเตอร์
   
เรอัล มาดริด :
โชเซ่ มูรินโญ่ นายใหญ่ ''ราชันชุดขาว'' พาทีมเฉือนชนะ เรือใบสีฟ้า มาแบบดุเดือดในเกมแรก โดนนัดนี้จะให้ อัลบาโร่ อาร์เบลัว, ชาบี อลอนโซ่ และ คาริม เบนเซม่า ที่เป็นตัวสำรองในเกมลีกนัดล่าสุด กลับมาลงสนามอีกครั้ง อลอนโซ่ จะจับคู่กับ ซามี่ เคดิร่า คอยคุมเกมกลางสนาม ส่วนแนวรุกเป็นหน้าที่ของ โฆเซ่ กาเยฆอน, เมซุต โอซิล และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มี กาก้า เป็นตัวสอดแทรก ส่วนหน้าเป้าใช้ เบนเซม่า ล่าตาข่าย

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

อาแจ๊กซ์ :
(4-3-3) : เคนเน็ธ แฟร์เมียร์; ริคาร์โด้ ฟาน ไรจ์น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, นิคลาส มอยซานเดอร์, ดาลี่ย์ บลินด์; เซียม เดอ ยอง, คริสเตียน โพลเซ่น, คริสเตียน เอริคเซ่น; โทเบียส ซาน่า, ไรอัน บาเบิล, เดิร์ค บัวริกเตอร์
   
เรอัล มาดริด :
(4-2-3-1): อีเกร์ กาซียาส; อัลบาโร่ อาร์เบลัว, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, มาร์เชโล่ วิเอยร่า; ซามี่ เคดิร่า, ชาบี อลอนโซ่; โฆเซ่ กาเยฆอน, เมซุต โอซิล (กาก้า), คริสเตียโน่ โรนัลโด้; คาริม เบนเซม่า

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

อาแจ็กซ์ แม้จะคว้าชัยชนะมาใน 2 เกมหลัง แต่การต้องมาเจอศึกหนักกับ เรอัล มาดริด ที่ขนขุมกำลังชุดใหญ่ลงสนามในนัดนี้ ทำให้ดูแล้วเกมนี้เจ้าถิ่น ไม่น่าจะต้านแนวรุกที่จัดจ้าน ของทีมชุดขาวไปได้ในที่สุด
 

59
แมนฯ ซิตี้ - ดอร์ทมุนด์ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก)
วันที่ : 03 ตุลาคม 2555
เวลา : 01:45 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต1



เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

แมนฯ ซิตี้ :
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ได้พาทีมออกไปพ่ายต่อ ชุดขาว มาแบบฉิวเฉียด โดยเกมนี้จะขาดแค่ ไมกาห์ ริชาร์ดส์ กับ  แจ็ค ร็อดเวลล์ ที่ยังมีอาการบาดเจ็บ ส่วนที่เหลือพร้อมลงสนามบู๊เต็มที่ นำโดย โจ ฮาร์ท จอมหนึบจะลงเฝ้าเสาแดนกลาง ฆาบี การ์เซีย กับ ยาย่า ตูเร่ จะคอยคุมจังหวะเกม ส่วน ซามีร์ นาสรี่, คาร์ลอส เตเวซ และ   ดาบิด ซิลบา เป็น 3 แนวรุก โดยมี เซร์คิโอ อเกวโร่ ''กุน'' ยืนเป็นหน้าเป้า
   
ดอร์ทมุนด์ :
เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ ''เสือเหลือง'' อวดฟอร์มเก่งโดยพาทีมชนะอาแจ็กซ์ มาในนัดแรก โดยเกมนี้นักเตะฟิตเต็มที่ ไม่มีใครบาดเจ็บ ทำให้สามารุถจัดชุดใหญ่ลงสนามเต็มกำลัง โดยจะให้ เนเว่น ซูโบติช กับ  มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ ลงบัญชาการเกมรับ ส่วนแดนกลาง มาร์โค รอยส์, มาริโอ เกิทเซ่ และ  เควิน โกรสครอยท์ซ คือ 3 ประสานในแนวรุกคอยปั้นเกมให้ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้  ดาวยิงตัวเก่งจบสกอร์

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

แมนฯ ซิตี้ :
(4-2-3-1): โจ ฮาร์ท; ปาโบล ซาบาเลต้า, โจลีออน เลสค็อตต์, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ; ฆาบี การ์เซีย, ยาย่า ตูเร่; ซามีร์ นาสรี่, คาร์ลอส เตเวซ, ดาบิด ซิลบา; เซร์คิโอ อเกวโร่
   
ดอร์ทมุนด์ :
(4-2-3-1) : โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์; ลูคัสซ์ พิซเซ็ค, เนเว่น ซูโบติช, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, มาร์เซล ชเมลเซอร์; ยาคุบ บลาซซีคอฟสกี้, อิลคาย กุนโดกัน; มาร์โค รอยส์, มาริโอ เกิทเซ่, เควิน โกรสครอยท์ซ; โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (ยูเลี่ยน ชีเบอร์)

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

แม้ ดอร์ทมุนด์ จะมีผู้เล่นให้เลือกลงสนามมากมาย แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าชัยได้ในเกมล่าสุด เรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง ยิ่งบวกกับเกมนี้ยังได้ผู้เล่นตัวหลักๆ พร้อมลงสนาม ยิ่งมั่นใจว่า แนวรุกที่ดุเดือดของทีมเรือใบน่า จะเอาชนะผู้มาเยือนอย่าง ดอร์ทมุนด์ ไปได้

60
เรอัล มาดริด - ลา กอรุนญ่า (ลาลีกา สเปน)
วันที่ : 30 กันยายน 2555
เวลา : 00:50 น.

เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

เรอัล มาดริด :
''ราชันชุดขาว'' ของสุดยอดกุนซือ โชเซ มูรินโย่ แชมป์เก่าฤดูกาลที่แล้ว ฟอร์มเทพเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังชนะรวดในสองเกมหลังสุด เหนือ แมนฯ ซิตี้ ในถ้วยชปล. และราโย บาเยกาโน่ ในเกมลีกนัดที่แล้ว โดยกลางสัปดาห์ ต้องบุกไปเยือนอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ของฮอลแลนด์ด้วย
 
สภาพทีม เรอัล มาดริด ค่อนข้างจะสมบูรณ์ทีเดียว ไม่มีตัวเจ็บเพิ่ม โดยได้ ฟาบิโอ โกเอนเตรา แบ็กซ้ายโปรตุกีส ที่ติดโทษแบนครบ 4 นัด พร้อมกลับมาเป็นช่วยทีมแย่งตำแหน่งกับ มาร์เซโล่ อีกครั้ง เกมนี้มีข่าวดี เซร์คิโอ รามอส พ้นโทษกลับมาเป็นหัวใจหลักในแนวรับของทีมแล้ว หลังโดนดร็อปในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก กับแมนฯ ซิตี้ พร้อมจับคู่กับ เปเป้ ตามเดิม ทางด้าน ไมเคิ่ล เอสเซียง และ ลูก้า โมดริช ที่เป็นตัวจริงในเกมที่แล้ว มีสิทธิ์พักให้ ซามี่ เคดิร่า และ เมซุต โอซิล คู่หูเยอรมันปั้นเกม ขณะที่หน้าเป้า คาริม เบนเซม่า มีสิทธิ์ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงก่อน กอนซาโล่ อิกวาอิน ดาวยิงอาร์เจนไตน์
   
ลา กอรุนญ่า :
ลา กอรุนญ่า ฤดูกาลนี้ออกสตาร์ตใช้ได้เลยทีเดียว แม้ว่าเพิ่งแพ้ในนัดล่าสุดต่อ เซบีย่า 0-2 คารัง แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้นัดแรกในฤดูกาลนี้ โดยก่อนหน้านั้นเสมอรวด 3 เกมซ้อน ริกิ กองหน้าดาวรุ่งเริ่มเป็นตัวจริงในเกมที่แล้ว แม้ว่ามีอาการเจ็บดั้งจมูก เกมนี้จะต้องใส่หน้ากากลงเล่น จะเป็นตัวจริงก่อน เนลสัน โอลิเวียร่า กองหน้าโปรตุเกส ทางด้าน อายธามี่ กองหลังตัวเก่ง คาดว่าจะได้ลงสนามเป็นตัวจริงต่อ แม้ว่ามีอาการเจ็บรบกวนระหว่างซ้อมก็ตาม แนวรุกจะเป็นชุดเดิมทั้ง บรูโน่ กาม่า, ฆวน การ์ลอส บาเลรอน และ ปิซซี่ ลงปั้นเกมด้วยกัน โดยมี ฆาเบียร์ กามนูญาส เป็นตัวสอดแทรก

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

เรอัล มาดริด :
(4-2-3-1) : อีเกร์ กาซียาส - อัลบาโร่ อาร์เบลัว, เปเป้, เซร์คิโอ รามอส, มาร์เซโล่ (ฟาบิโอ โกเอนเตรา) - ชาบี อลอนโซ่, ซามี่ เคดิร่า - อังเคล ดิ มาเรีย, เมซุต โอซิล,  คริสเตียโน่ โรนัลโด้ - คาริม เบนเซม่า (กอนซาโล่ อิกวาอิน)
   
ลา กอรุนญ่า :
(4-2-3-1) : ดาเนี่ยล อรันซูเบีย - มานูเอล ปาโบล, การ์ลอส มาร์เชน่า, อายธามี่, เอวาลโด้ - อาเบล อากีลาร์, ฆวน โดมิงเกซ - บรูโน่ กาม่า, ฆวน การ์ลอส บาเลร่อน, หลุยส์ ปิซซี่ (ฆาเบียร์ กามนูญาส) - ริกิ (เนลสัน โอลิเวียร่า)

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

เรอัล มาดริด ศักยภาพและประสบการณ์เหนือกว่ามาก แม้เกมนี้อาจโรเตชั่นในบางตำแหน่ง แต่ความสมดุลของทีมยังดี หน้าเป้าใช้ใครก็ได้ ล้วนอันตรายทั้งสิ้น การได้ โมดริช เข้ามาเสริม ทำให้มีทางเลือกในการเล่นมากขึ้น ขณะที่ลา กอรุนญ่า เป็นบอลเหนียวหนึบ แต่อาวุธเด็ดๆไม่มี เกมนี้รอโดนถล่มสถานเดียว ราชันชุดขาว มีลุ้นถึง 3 เม็ดสบายๆ
 

หน้า: 1 2 3 [4] 5