ธันวาคม 27, 2024, 08:29:31 AM

ผู้เขียน หัวข้อ: ฟุตบอลยุคใหม่ คิดจะเป็นกองหน้าต้องเล่นได้หลากหลาย  (อ่าน 19686 ครั้ง)

Reporter

  • Member
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1019
    • ดูรายละเอียด
       “เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลง ผู้คนก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วย” ผมว่าประโยคนี้ยังใช้ได้เสมอกับทุกวงการการ โดยเฉพาะวงการฟุตบอล ซึ่งหากเราดูเปรียบเทียบฟุตบอลในอดีต หรือที่ผ่านมาๆกับฟุตบอลสมัยใหม่นี้ และเลือกโฟกัสไปที่ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า เราจะเห็นเลยว่า หากผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าไม่มีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงจากเดิม โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลก็ยาก คือสำหรับฟุตบอลในอดีต เราจะเห็นได้ว่าหลายๆทีมเน้นการเล่นในแบบใช้กองหน้าคู่ เวลาลงสนามแข่งขันในแต่ละแมท

       ก็จะมีสองกองหน้าคู่ยืนเป็นตัวเป้าด้วยกัน ช่วยกันเล่น โดยที่แต่ละคนก็จะมีหน้าที่ทำประตูด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่กองหน้าฟุตบอลในอดีตต้องทำก็ไม่มีอะไรแค่จบสกอร์ให้คม ยิงประตูให้คมก็พอ แต่กับปัจจุบัน หรือกับฟุตบอลสมัยใหม่ ระบบการเล่นแบบเดิมๆเลือนหายไป กลายเป็นว่าส่วนใหญ่แต่ละทีมใช้กองหน้าตัวเดียว แล้วใช้ผู้เล่นมิดฟิลด์คอยปั้นเกม หรือคอยช่วยยิงประตูด้วย ที่ยืนสำหรับกองหน้าประเภทจบสกอร์เป็นอย่างเดียวจึงลดน้อยลง อย่างบางทีทีมที่เหมือนจะสงกองหน้าลงเยอะ เช่น สามคน แต่พอเอาเข้าจริงๆเวลาลงไปอยู่ในสนามก็จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นกองหน้าจริงๆ ที่เหลือก็สองคนก็จะเป็นตัวริมเส้น ต้องคอยเลี้ยงบอล คอยจ่ายบอล คอยทำเกมอยู่ริมเส้น

       ฉะนั้นนักเตะกองหน้าที่รู้จักปรับตัวให้เขากับสมัยใหม่ สามารถเล่นได้ทั้งแบบสไตล์ยิงประตู จบสกอร์ สไตล์ลากเลื้อยทำเกม สไตล์จ่ายบอลให้เพื่อนยิงจึงมีโอกาสที่ดีกว่านักเตะกองหน้าที่ไม่ยอมปรับตัว ตั้งหน้าตั้งตาจะเล่นแบบยิงประตูอย่างเดียว ซึ่งกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนมากคือในรายของฟาบิโอ บอร์รินี่ของลิเวอร์พูล นักเตะกองหน้ารายนี้เป็นประเภทยิงประตูจบสกอร์ได้เท่านั้น ลูกลากเลื้อย ลูกจ่ายแม่นๆไม่ค่อยมีเลย แต่ระบบการเล่นของร็อดเจอร์ส เป็นการใช้กองหน้าตัวเป้าคนเดียว ความยากในการประสบความสำเร็จของบอร์รินี่ก็เลยเกิดขึ้นมาครับ


Reporter

  • Member
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1019
    • ดูรายละเอียด
       คราวที่แล้วกล่าวถึงกรณีตัวอย่าง ฟาบิโอ บอร์รินี่ กองหน้าลิเวอร์พูลที่มีสไตล์การเล่นแบบยิงประตูจบสกอร์ได้อย่างเดียว แต่ว่าแบรนแดน ร็อดเจอร์ กุนซือลิเวอร์พูลในยุคฟุตบอลสมัยใหม่อย่างนี้ใช้แผนการเล่นแบบกองหน้าตัวเป้าคนเดียว ซึ่งก็เท่ากับว่านี้ทำให้ที่ยืนของบอร์รินี่ในสนามลดน้อยลงแล้ว เพราะอะไร? ก็เพราะว่าในทีมลิเวอร์พูลก็มีกองหน้าให้เลือกใช้หลายราย อย่างน้อยก็ราวๆ 3-4 ราย ซึ่งถ้าบอร์รินี่จะทอดแทรกลงไปเป็นตัวจริงได้ ก็เท่ากับว่าเขาต้องเอาชนะกองหน้ารายอื่นๆในทีมอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป

       และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วความจริงมันก็ปรากฏให้เห็นกันในฤดูกาลที่ผ่านมาว่า ร็อดเจอร์สเลือกใช้หลุยส์ ซัวเรซประจำการในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ที่ยืนของบอร์รินี่จึงเป็นที่ยืนที่ไม่ถนัดนัดคือ กองหน้าตัวริมเส้น หรือตัวทำเกมริมเส้นนั่นเอง ด้วยสไตล์การเล่นของเจ้าตัวในแบบฉบับกองหน้าในอดีตคือลากเลื้อยบอลก็ไม่ดี จ่ายบอลแม่นๆก็ไม่ได้ เวลาทีร็อดเจอร์สส่งลงสนามไป เขาจึงไม่สามารถทำผลงานอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน สุดท้ายร็อดเจอร์สจึงไปเลือกใช้กองหน้ารายอื่นๆที่สามารถเล่นได้หลากหลายกว่า ไม่ก็เป็นพวกนักเตะที่เล่นได้หลากหลายคือไม่ใช่กองหน้าโดยตรงมาเล่น เช่น สเตอร์ลิ่ง ซึ่งแม้จะเป็นปีก แต่ก็เล่นกองหน้าริมเส้นได้ หรือปัจจุบันก็มีทั้ง สเตอร์ริดจ์ และฟิลิปเป้ คูติญโญ่อีกคนด้วย ไหนจะมีอัสปาส นักเตะรายใหม่เพิ่มเข้ามาในทีม ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่าบอร์รินี่แทบจะไม่มีโอกาสได้ลงสนามซะแล้ว

       อย่างไรก็ตามครับ บอร์รินี่เป็นนักเตะที่อายุยังน้อย หากมีการปรับตัวให้สามารถเล่นกับตำแหน่งอื่นๆได้หลากหลายกว่านี้ โอกาสในการประสบความสำเร็จกับลิเวอร์พูลก็ยัง ทั้งนี้เหตุผลบางส่วนที่ทำให้ฟาบิโอ บอร์รินี่ไม่ประสบความสำเร็จในการเล่นให้ลิเวอร์พูลก็คงต้องเป็นที่แบรนแดน ร็อดเจอร์สด้วยซึ่งไม่ค่อยไว้วางใจให้บอร์รินี่ได้ลงสนามในฐานะกองหน้าตัวเป้า ไม่ว่าจะลงสนามไปกี่นัดๆก็จึงไม่สามารถยิงประตูได้อย่างที่เจ้าตัวต้องการครับ