“เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลง ผู้คนก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วย” ผมว่าประโยคนี้ยังใช้ได้เสมอกับทุกวงการการ โดยเฉพาะวงการฟุตบอล ซึ่งหากเราดูเปรียบเทียบฟุตบอลในอดีต หรือที่ผ่านมาๆกับฟุตบอลสมัยใหม่นี้ และเลือกโฟกัสไปที่ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า เราจะเห็นเลยว่า หากผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าไม่มีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงจากเดิม โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลก็ยาก คือสำหรับฟุตบอลในอดีต เราจะเห็นได้ว่าหลายๆทีมเน้นการเล่นในแบบใช้กองหน้าคู่ เวลาลงสนามแข่งขันในแต่ละแมท
ก็จะมีสองกองหน้าคู่ยืนเป็นตัวเป้าด้วยกัน ช่วยกันเล่น โดยที่แต่ละคนก็จะมีหน้าที่ทำประตูด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่กองหน้าฟุตบอลในอดีตต้องทำก็ไม่มีอะไรแค่จบสกอร์ให้คม ยิงประตูให้คมก็พอ แต่กับปัจจุบัน หรือกับฟุตบอลสมัยใหม่ ระบบการเล่นแบบเดิมๆเลือนหายไป กลายเป็นว่าส่วนใหญ่แต่ละทีมใช้กองหน้าตัวเดียว แล้วใช้ผู้เล่นมิดฟิลด์คอยปั้นเกม หรือคอยช่วยยิงประตูด้วย ที่ยืนสำหรับกองหน้าประเภทจบสกอร์เป็นอย่างเดียวจึงลดน้อยลง อย่างบางทีทีมที่เหมือนจะสงกองหน้าลงเยอะ เช่น สามคน แต่พอเอาเข้าจริงๆเวลาลงไปอยู่ในสนามก็จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นกองหน้าจริงๆ ที่เหลือก็สองคนก็จะเป็นตัวริมเส้น ต้องคอยเลี้ยงบอล คอยจ่ายบอล คอยทำเกมอยู่ริมเส้น
ฉะนั้นนักเตะกองหน้าที่รู้จักปรับตัวให้เขากับสมัยใหม่ สามารถเล่นได้ทั้งแบบสไตล์ยิงประตู จบสกอร์ สไตล์ลากเลื้อยทำเกม สไตล์จ่ายบอลให้เพื่อนยิงจึงมีโอกาสที่ดีกว่านักเตะกองหน้าที่ไม่ยอมปรับตัว ตั้งหน้าตั้งตาจะเล่นแบบยิงประตูอย่างเดียว ซึ่งกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนมากคือในรายของฟาบิโอ บอร์รินี่ของลิเวอร์พูล นักเตะกองหน้ารายนี้เป็นประเภทยิงประตูจบสกอร์ได้เท่านั้น ลูกลากเลื้อย ลูกจ่ายแม่นๆไม่ค่อยมีเลย แต่ระบบการเล่นของร็อดเจอร์ส เป็นการใช้กองหน้าตัวเป้าคนเดียว ความยากในการประสบความสำเร็จของบอร์รินี่ก็เลยเกิดขึ้นมาครับ