"สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี เกมนี้เซอร์ไพร์สแฟนๆโดยปล่อยให้กร่อยก่อนจะได้เฮกันเสียงดังเมื่อโดน "คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้" ยิงนำไปก่อนแต่กลับมากด 4 ประตูรวดจาก "ซามูเอล เอโต้" ที่ประเดิมลูกแรก, "ออสการ์ และ เอแด็น อาซาร์" ที่กดเบิ้ลพาทีมชนะ 4-1 แถมขยับแซงลิเวอร์พูลขึ้นไปยึดรองจ่าฝูงด้วยผลต่างประตูได้เสียดีกว่า
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2556
เชลซี 4-1 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ออกสตาร์ทเกมช่วงแรกในนาทีที่ 6 ซามูเอล เอโต้โดนรวบล้มไปนอกกรอบเขตโทษด้านซ้ายทำให้แฟร้งค์ แลมพาร์ดได้ลองส่องฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาทว่าดาวเตะทีมชาติอังกฤษยิงไปโดนหน้ากำแพงของคาร์ดิฟฟ์ที่ถึงกับทรุดลงไปกองเหมือนกัน
จังหวะถัดมาเอโต้ลากบอลตรงริมเส้นด้านซ้ายเข้าจี้ก่อนจ่ายเข้ากลางให้มาต้าที่ยืนรออยู่ตรงบริเวณจุดโทษตวัดด้วยซ้ายทว่ากลับยิงวืดไปบอลเลยไปถึงอิวาโนวิชที่ตั้งป้อมซัดตูมเหินข้ามคานไปเลย
แฟนบอลในสแตมฟอร์ด บริดจ์ถึงกับช็อกเมื่อมาร์เชลล์เตะยาวจากลูกเตะจากประตูเทอร์รี่สกัดบอลมาเข้าทางรามิเรสที่เตะคืนหลังเบาไปเข้าตีนของมัตช์ที่ควบเข้ามาถึงบอลก่อนเช็คจะออกมาถึงก่อนจิ้มเข้าประตูไปแบบสุดเหลือเชื่อ
นาทีที่ 17 เชลซีเกือบได้ประตูตีเสมอเหมือนกันเมื่อได้เตะมุมด้านซ้ายมาต้าเปิดมาตรงจุดนัดหมายเสาแรกให้เทอร์รี่โฉบมาโขกตัดหน้าสองกองหลังของคาร์ดิฟฟ์ไปที่เสาไกลทว่าบอลชนเสาด้านนอกก่อนออกไปอย่างน่าเสียดาย
เชลซีมาเสียฟรีคิกระยะหวังผลได้ซึ่งทางทีมเยือนตั้งป้อมเปิดมาจากนอกกรอบเขตโทษด้านขวาให้โอเด็มวิงกี้กระโดดหันหลังโขกสะบัดจะเข้าไปทางเสาไกลอยู่แล้วแต่เช็คยังโชว์ซูเปอร์เซฟปัดทิ้งออกหลัง
เทอร์รี่มาได้โขกจากลูกเตะมุมอีกแล้วโดยเป็นมาต้าที่เปิดบอลมาจากมุมธงด้านขวาที่เสาแรกซึ่ง"เจที"พยายามก้มลงไปโขกแต่บิดบอลไม่ตรงกรอบทำให้หน้าคะมำลงไปก่อนที่จะไปไถเอาแป้งโรยเส้นทำให้หน้าขวาไปครึ่งหนึ่งอย่างฮาทีเดียว
เชลซีได้ครองบอลบุกอยู่ฝ่ายเดียวเลยแต่หาจังหวะยิงยากเหลือเกินแต่ในนาทีที่ 32 พวกเขามาได้ประตูตีเสมอจนได้เมื่อมาร์แชลล์พลาดสุดๆไปเคาะบอลลงพื้นทั้งที่มีเอโต้จ้องอยู่ก่อนจะจิ้มบอลมาเข้าทางของอาซาร์ที่จ่ายไปให้เอโต้ลากหลบมาร์แชลล์ก่อนจังหวะหนึ่งแต่เขาไม่ได้ยิงแล้วทว่าโชคยังดีที่อาซาร์ตามมาเก็บตกแปบอลเข้าไปกองก้นตาข่ายเลย
กลายเป็นบอลได้ใจแล้วในตอนนี้คราวนี้เป็นลุยซ์ที่ลากขึ้นมาเองจากแดนหลังก่อนถึงระยะราว 30 หลาแล้วตะบันด้วยซ้ายทันทีทว่าบอลเหินข้ามคานออกไปไม่ได้ลุ้น
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บเชลซีมาได้ลุ้นอีกจากจังหวะฟรีคิกนอกกรอบเขตโทษด้านซ้ายที่แลมพาร์ดพยายามจะลักไก่ยิงเลยไปตรงเสาสองทว่าบอลเลยออกไปไกลจนเพื่อนหันมาโวยวายกันเลยทีเดียว
ต่อมาในช่วงครึ่งหลังโอกาสเป็นของ "สิงห์ไฮโซ" เมื่อวิลเลี่ยนลากบอลอยู่ริมเส้นเขตโทษด้านซ้ายก่อนไหลกลับมาให้เอโต้ยิงตูมเดียวจากนอกกรอบเขตโทษทว่ามาร์แชลล์ยังล้มตัวรับเอาไว้ได้
นาทีที่ 52 อาซาร์ได้บอลมาจากเอโต้ตัดหลังแบ็คเข้าไปในกรอบเขตโทษด้านซ้ายแล้วแต่จังหวะเปิดเข้ากลางให้วิลเลี่ยนยิงนั้นโดนกองหลังบล็อคไว้ทันบอลกระฉอกออกมารามิเรสจะตามซ้ำก็ยังโดนเตะทิ้งไปได้อีกที
เกมผ่านมาถึงนาทีที่ 64 โอกาสของเชลซียังมีไม่มากแถมยังโดนคาร์ดิฟฟ์บุกใส่อย่างต่อเนื่องจนทำให้มูรินโญ่ตัดสินใจเสี่ยงส่งเฟร์นานโด ตอร์เรสลงมาแทนกองหลังอย่างเบอร์ทรานด์ทำให้ตอนนี้เหลือปราการหลังเพียง 3 ตัวเท่านั้น
ในที่สุดการเปลี่ยนแผนของมูรินโญ่ก็เป็นผลโดยเอโต้โชว์ความเด็ดขาดรับบอลมาจากอาซาร์ในกรอบเขตโทษด้านซ้ายก่อนลากหนีคอลเกอร์จนหลังหักแล้วยิงอัดไปทางเสาแรกทันทีเป็นประตูแรกของเขาในนามทัพ"สิงห์ไฮโซ"แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานมูรินโญ่ไปเม้งแตกมีปัญหาอยู่ข้างสนามก่อนโดนกรรมการไล่ให้ไปนั่งบนแสตนท์กองเชียร์เพื่อสงบสติอารมณ์ทำให้เจ้าตัวเดินหน้ามุ่ยออกไปแบบบุญไม่รับ
เชลซีเกือบจะเสียประตูเหมือนกันเมื่อคาร์ดิฟฟ์ได้บอลบุกขึ้นมาก่อนจะถึงคิมในกรอบเขตโทษด้านซ้ายแล้วยิงทันทีทว่าเช็คยังโชว์เซฟปัดทิ้งออกทางเสาไกลไปได้แบบหวุดหวิด
นาทีที่ 78 เชลซีมาได้ประตูทิ้งห่างแล้วโดยเป็นออสการ์ที่ลงมาแทนมาต้าได้บอลมาตรงกลางสนามก่อนม้วนให้เข้าเท้าขวาแล้วยิงทันทีระยะ 20 หลากลางประตูบอลมุดใต้คานเข้าไปอย่างสวยงามเหลือเกินเป็นประตูที่ 4 ของเขาในพรีเมียร์ลีก
หลังจากนั้นอาซาร์ได้จังหวะโต้กลับเร็วจากแดนตัวเองก่อนลากมาถึงหน้าปากเขตโทษแล้วจ่ายไปให้วิลเลี่ยนที่วิ่งตีคู่ขึ้นมาด้านขวาได้ยิงโล่งๆเลยแต่ดาวเตะบราซิเลี่ยนดันทำหมูหกยิงไปติดตัวของมาร์แชลล์แบบไม่ได้ลุ้น
นาทีที่ 82 สกอร์เริ่มไหลเสียแล้วคราวนี้เป็นอาซาร์ที่ลากบอลมาเองจากริมเส้นด้านซ้ายก่อนสับขาก่อนสองทีแล้วยิงยัดมาตรงๆเลยแต่มาร์แชลล์ดันรับไม่ได้ทำให้บอลค่อยๆกลิ้งเข้าประตูไป
สุดท้ายเชลซีกระชาก 3 แต้มมาครองได้อย่างงดงามแถมยังสามารถเขี่ยลิเวอร์พูลลงจากรองจ่าฝูงด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าตามหลังอาร์เซน่อลเพียง 2 แต้มเท่านั้น