ลิเวอร์พูล - แมนฯ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ)
วันที่ : 13 เมษายน 2557
เวลา : 19:37 น.
ถ่ายทอดสด : CTH สเตเดี้ยม2
เปรียบเทียบความพร้อมของทีม ลิเวอร์พูล : "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ภายใต้ยุคของกุนซือตาหวาน "เบรนแดน ร็อดเจอร์ส" เดินหน้าไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อไปอย่างมุ่งมั่น หลังจากสุดสัปดาห์ก่อนออกไปสอย เวสต์แฮม 2-1 นับเป็นชัยชนะเป็นนัดที่เก้าติดต่อกันเข้าไปแล้ว
ก่อนเกมซูเปอร์ซันเดย์กับ แมนฯ ซิตี้ สุดสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล รั้งบัลลังก์จ่าฝูงในขณะที่เหลืออีกแค่ห้านัด โดยมีสี่แต้มเหนือกว่าอันดับสามอย่าง แมนฯ ซิตี้ ที่มีเกมในมือสองนัด ขณะที่ก่อนเตะจะมีการรำลึกครบรอบ 25 ปีของเหตุโศกนาฏกรรม ฮิลส์โบโร่ ด้วย และเกมจะเตะช้ากว่าปกติเจ็ดนาทีเหมือนอย่างที่ทำกันทั่วเกาะอังกฤษช่วงสุดสัปดาห์
ในส่วนของความพร้อมล่าสุด มีรายงานว่า แดเนียล แอ็กเกอร์ ปราการหลังชาวเดนมาร์ก ได้กลับมาสู่ทีมอีกครั้ง หลังจากที่พลาดเกมเยือนขุนค้อน เพราะเจ็บหัวเข่า ซึ่งสตาร์เดนส์เตรียมเบียด มามาดู ซาโก้ ไปนั่งสำรองตามเดิม
นอกเหนือไปจาก โฆเซ่ เอ็นริเก้ กับ เซบาสเตียน โกอาเตส สองกองหลังที่พักยาวแล้ว ถือว่า ร็อดเจอร์ส มีขุมกำลังชุดใหญ่ให้เลือกใช้งาน โดยกุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเรียกใช้บริการ ลูคัส เลวา กองกลางเชิงรับทีมชาติบราซิล เพื่อหยุดเกมของ แมนฯ ซิตี้ หรือใช้งาน ฟิลิปป์ คูตินโญ่ ต่อไปอย่างที่ทำมาตลอดในพักหลัง
ตัวหลักรายอื่นๆ ต่างพร้อมไล่ล่าชัยชนะในพรีเมียร์ลีกนัดที่ 10 ติดต่อกัน แนวรับนำโดย ซิมง มิโญเล่ต์, เกล็น จอห์นสัน เด็กเก่า เวสต์แฮม, มาร์ติน สเคอร์เทล, แอ็กเกอร์ และ จอน ฟลานาแกน ส่วนแดนกลางประกอบด้วยกัปตันทีม สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่จะยืนต่ำ ปล่อยให้เจ้าหนู ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, คูตินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน สร้างเกมรุกให้คู่กองหน้าที่ฮอตสุดๆ อย่าง แดเนียล สเตอร์ริดจ์ กับ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวซัลโว 29 เม็ด
แมนฯ ซิตี้ : ฟากของ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของกุนซือชาวชิลี "มานูเอล เปเยกรีนี่" ก็กุมชะตาตัวเองไว้ในมือเช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล โดยหากเก็บชัยชนะได้หมดก็จะเข้าป้ายแชมป์พรีเมียร์ลีกทันที ซึ่งนับถึงตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ไม่แพ้ในลีกนานเจ็ดนัดเข้าไปแล้ว ตั้งแต่โดน เชลซี บุกหั่น 1-0 เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์
ผลงานล่าสุดของ แมนฯ ซิตี้ คือการเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม ไล่ถล่ม เซาธ์แฮมป์ตัน ราบคาบ 4-1 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดย นักบุญ คือทีมเดียวที่สามารถบุกไปชนะ ลิเวอร์พูล ได้ถึง แอนฟิลด์ ในฤดูกาลนี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว
มีข่าวดีสำหรับสาวก ซิตี้ เมื่อดาวยิงตัวเก่ง เซร์คิโอ อเกวโร่ ''กุน'' เตรียมกลับมาประจำการในแนวรุกอีกครั้งในวันอาทิตย์นี้ หลังหายหน้าไปห้าเกม เพราะเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า แต่ล่าสุดลงซ้อมได้เต็มรูปแบบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เท่ากับว่าตอนนี้มีแค่เซนเตอร์แบ็ก มาติย่า นาสตาซิช (หัวเข่า) แค่คนเดียวที่ถือเป็นแกนหลักที่หายไป ขณะที่ ยาย่า ตูเร่ มิดฟิลด์จอมพลังทีมชาติไอเวอรี่โคสต์ เอาชนะอาการบาดเจ็บที่ได้รับระหว่างเกมกำราบ นักบุญ ได้ทันเวลา
เปเยกรีนี่ พร้อมจัดทัพใหญ่วัดกับเจ้าถิ่น กรุยทางสู่บัลลังก์แชมป์ โดย โจ ฮาร์ท พร้อมเฝ้าเสาหลังแผงแบ็กโฟร์อย่าง ปาโบล ซาบาเลต้า, กัปตันทีม แว็งซ็องต์ ก็องปานี, มาร์ติน เดมิเคลิส และ กาแอล กลิชี่ ส่วน ยาย่า ตูเร่ จะดูแลห้องเครื่องร่วมกับ แฟร์นานดินโญ่ ขณะที่เกมรุกมีทีเด็ดทั้ง ดาบิด ซิลบา, กุน และ ซามีร์ นาสรี่ ที่จะป่วนหลังหอกเป้า เอดิน เชโก้
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล : (4-1-2-1-2) : ซิมง มิโญเล่ต์ - เกล็น จอห์นสัน, มาร์ติน สเคอร์เทล, แดน แอ็กเกอร์, จอน ฟลานาแกน - สตีเว่น เจอร์ราร์ด - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟิลิปป์ คูตินโญ่ - ราฮีม สเตอร์ลิ่ง - หลุยส์ ซัวเรซ, แดเนียล สเตอร์ริดจ์
แมนฯ ซิตี้ :(4-2-3-1) : โจ ฮาร์ท - ปาโบล ซาบาเลต้า, มาร์ติน เดมิเคลิส, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, กาแอล กลิชี่ - แฟร์นานดินโญ่, ยาย่า ตูเร่ - ดาบิด ซิลบา, เซร์คิโอ อเกวโร่ ''กุน'', ซามีร์ นาสรี่ - เอดิน เชโก้
วิจารณ์เกมการแข่งขัน
สุดยอดบิ๊กแมตช์ประจำคืนนี้ที่ทุกสายตาต่างเฝ้ารอ เนื่องจากมีผลต่อการลุ้นแชมป์ในปีนี้อย่างมหาศาล เพราะถ้าหากเกมนี้ "หงส์แดง" สามารถพิชัยได้ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้พวกเขาในการลุ้นแชมป์มากขึ้นไปอีก เช่นเดียวทางด้านของ "เรือใบสีฟ้า" หากทำสำเร็จก็จะทำแต้มกดดัน "หงส์แดง" ไปในตัว เจ้าบ้านเวลานี้เล่นด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ หลังจากที่ทำผลงานมาได้สุดยอดอย่างต่อเนื่อง แถมเกมนี้ยังเป็นฝ่ายที่ได้เล่นในบ้านอีกด้วย ซึ่งสามารถเชื่อใจได้ในระดับนึงเลย บวกกับแนวรุกที่เรียกว่าร้อนแรงแบบสุดๆ แต่ทว่าทีมเยือนอย่าง "ซิตี้" เองก็ใช่ย่อย แกร่งทั่วแผ่น ระเบิดสกอร์ได้กระจุยกระจายไม่แพ้กัน ที่สำคัญเกมนี้ได้ "เซร์คิโอ อเกวโร่" ฟิตปั๋งคัมแบ็คกลับมาเสริมทีมพร้อมขู่แนวรับเจ้าถิ่นอีกด้วย รูปเกมคงเปิดแลกกันอย่างสนุกเพราะเน้นเกมรุกทั้งคู่และต่างก็มองถึงชัยชนะ ทว่าตามสถิติกินกันค่อนข้างยาก 5 เกมหลังสุดที่เจอกันในทุกรายการ เสมอกันถึง 3 และผลัดกันแพ้-ชนะคนละเกม แม้ว่าจะเปิดแลก แต่ก็เชื่อว่าคงต้องมีการระมัดระวังตัวกันพอสมควร เพราะเกมสำคัญแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากแพ้ จึงเป็นไปได้ที่สุดท้ายแล้วจะลงเอยด้วยการแบ่งแต้มกันไป